‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้า ปชน.แจงพรรคเตรียมเดินหน้ายุทธการโรยเกลือ ร้ององค์กรอิสระตรวจสอบนายกฯ เชื่อการอภิปรายจะทำให้ครอบครัวนายกฯยอมเสียภาษีถูกต้อง อัดรัฐบาลยังล้มเหลวปฏิรูปกองทัพ หลัง สส.ชยพลถูกเบรกไม่ให้อภิปรายเรื่องไอโอ-ไม่ขอตอบเรื่องอายุรัฐบาล แต่ชี้อายุประชาชนสั้นลงแน่หาก ‘แพทองธาร’ ยังเป็นนายกฯต่อ -ยังข้องใจประเด็นความมีอิสระคณะทำงานเดินทางไปจีนตรวจสอบกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าหลังจากการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไป ทางด้านของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนได้ให้สัมภาษณ์ว่าทางพรรคประชาชนคงมีการเดินหน้ายุทธการโรยเกลือ และมีการฟ้องร้ององค์กรอิสระเพื่อให้ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต่อไป แต่อย่างไรก็เชื่อว่าการที่ฝ่ายค้านได้มีการอภิปราย นำข้อมูลมาเปิดเผยที่สภา ก็น่าจะทำให้ครอบครัว น.ส.แพทองธารยอมดำเนินการจ่ายภาษีให้ถูกต้องได้ ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์ในส่วนนี้
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าจุดยืนของพรรคประชาชนชุดนี้ ขอเรียนว่าภายใต้สภาชุดนี้เราไม่มีทางที่จะไปร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน ในมุมกลับกันก็ต้องถามจุดยืนทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีว่ามีความย้อนแย้งกับจุดยืนของพรรคเพื่อไทยที่เคยยืนมาโดยตลอดหรือไม่
“เราเห็นมาโดยตลอดว่าแต่ละพรรค โดยเฉพาะที่อยู่ในสภาในปัจจุบันมันอาจจะมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป บางทีก็มีการย้ายไปยังรัฐบาลบ้าง ย้ายไปฝ่ายค้านบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติในโลกการเมือง แต่จุดยืนของพรรคประชาชนนั้นไม่เคยเปลี่ยน” นายณัฐพงษ์กล่าวและกล่าวต่อไปว่าในช่วงใกล้การเลือกตั้ง จุดยืนของแต่ละพรรคนั้นก็อาจจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่าสิ่งที่ไม่อยากเห็นก็คือว่าสมาชิกพรรคประชาชนทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา แต่ว่าต้องถูกดำเนินคดี ถูกฟ้องร้องเพื่อปิดปาก แต่ว่าเรื่องนี้ก็คงไม่หยุดยั้งพรรคประชาชนให้ทำหน้าที่ต่อไป
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อไปถึงสิ่งที่เรียกว่าการใช้ปฏิบัติการณ์การใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีหรือปฏิบัติการณ์ไอโอของกองทัพว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือว่าในการอภิปรายวันที่ 25 มี.ค. นายชยพล สะท้อนดี สส.พรรคประชาชนไม่ได้อภิปรายจนจบ เพราะเรามีข้อมูลสะท้อนให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายการเมืองต่างๆทุกฝ่ายล้วนตกเป็นเป้าโจมตีของกองทัพ สิ่งที่สำคัญก็คือว่าตอนนี้ต้องมีการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวมาโดยตลอด
“ผมต้องขอขอบคุณการทำหน้าที่ของทุกคน โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐ หลายคนต่างก็มีบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไป แต่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ สำหรับข้อมูลใหม่ เราเชื่อว่าเราได้มีการมองข้อมูลใหม่ในหลายด้าน แต่ถ้ามองมาจากทางฝ่ายรัฐบาลที่บอกว่าพรรคฝ่ายค้านยังไม่มีข้อมูลใหม่อะไรมาก ก็อยากจะบอกทางรัฐบาลกลับไปว่าหลายปัญหานั้นแม้จะไม่ใช่ข้อมูลใหม่ก็จริงแต่ว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดมาแล้วในอดีต หลายชุดรัฐบาล คำถามคือเมื่อคุณเข้าสู่อำนาจแล้ว คุณมีเจตนาที่จะต้องการแก้ปัญหาเหล่านั้นให้กับประชาชนหรือไม่ อาทิ ปัญหาเรื่องเหมืองทองอัครา ปัญหาค่าไฟแพง หรือปัญหาเรื่องสัมปทานการต่อทางด่วน” นายณัฐพงษ์ลกล่าว
หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวว่า สส.พรรคประชาชนได้มีการอภิปรายกันอย่างเต็มที่แต่ว่าเหตุผลที่การอภิปรายวันที่ 25 มี.ค. นั้นเลิกเร็วเพราะว่านายชยพลถูกเบรกจากการอภิปรายที่เตรียมเอาไว้ แต่ก็ขอยืนยันว่าการอภิปรายตลอดสองวันนั้นไม่ได้เสียของแต่อย่างใด เพราะว่าพวกเราจะมีการดำเนินการต่อในยุทธศาสตร์โรยเกลือ ซึ่งอยากจะให้รัฐบาลตั้งรับดีๆเพราะข้อมูลที่เรามี หลายอย่างนั้นเป็นสิ่งที่คิดว่านายกรัฐมนตรีตอบไม่ได้
เมื่อถามว่าคิดว่าพรรคประชาชนจะถูกโดดเดี่ยวหรือไม่เนื่องจากว่ามีบางพรรคฝ่ายค้านมีจุดยืนเอียงเข้าไปกับทางรัฐบาลแล้ว หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวว่าเราไม่สามารถไปควบคุมเสียงของทางพรรคร่วมฝ่ายค้านได้จริงๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต่างคนต่างทำหน้าที่อย่างเต็มที่ภายใต้กลไกสภา
“ในเรื่องการถูกทิ้งโดดเดี่ยว ผมไม่ได้กลัวอะไร สิ่งที่เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับพวกเรา เป็นเกราะคุ้มกันให้กับพวกเรา อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เราเชื่อว่าเป็นของประชาชน เพราะฉะนั้นเกมการเมืองในสภาแต่ละพรรคจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา” ห้วหน้าพรรคประชาชนกล่าว
เมื่อถามถึงอายุของรัฐบาลชุดนี้ จากกระแสข่าวรอยร้าวในรัฐบาล นายณัฐพงษ์กล่าวว่าคงไม่อาจไปประเมินอายุของรัฐบาลแทนตัวนายกรัฐมนตรีหรือว่าแทนพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้
“แต่คิดว่าสิ่งที่ผมพูดแทนได้ในฐานะตัวแทนของประชนทุกคนก็คือถ้าหาก น.ส.แพทองธารยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ อายุของประชาชนคนไทยจะสั้นลง” นายณัฐพงษ์กล่าว
เมื่อถามถึงปฏิกิริยาจากต่างประเทศ ว่าคาดว่าจะมีหรือไม่ จากคำตอบของนายกรัฐมนตรี และคำตอบของนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน นายณัฐพงษ์กล่าวว่าประเด็นระหว่างประเทศนั้นอาจเป็นประเด็นค่อนข้างละเอียดอ่อน ที่สิ่งที่คิดว่าเราควรต้องยึดมั่นไว้ในหลักการ ก็คือเรื่องหลักการสากล หลักการสิทธิมนุษยชนต่างๆ เราไม่ควรที่จะดำเนินการนโยบายต่างประเทศที่ไปเข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะว่าเราอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูงระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ ส่วนเรื่องประเด็นชาวอุยกูร์ คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทำอย่างไรไม่ให้ประเทศไทยเข้าไปร่วมกระบวนการฟอกขาวให้อีกประเทศหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นก็คือความมีอิสระของคณะทำงานที่เข้าไปตรวจสอบรวมถึงการเปิดกว้างให้คนต้องการมาตรวจสอบได้ทั้งหมด
เมื่อถามว่าคำตอบในการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลจะทำให้ประเทศไทยดูไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากไปหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวทิ้งท้ายว่า “ที่ผมตอบแบบนี้ก็คือเราก็เห็นตามหน้าข่าวว่าคณะทำงานที่เดินทางไปร่วมกันก็มีสื่อมวลชนบางกลุ่มที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ร่วมเดินทางไปด้วย ก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ายังมีข้อน่าสงสัยอยู่”