
ปปง.ยึดอายัดทรัพย์ คดี บริษัท สยาม แอฟโรฯ ‘กิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์’ กับพวก จำนวน 26 รายการ รวม 32.4 ล้าน ที่ดิน-ห้องชุด-เงินสด 5 บัญชี ฐานฉ้อโกง-ฟอกเงิน ชักชวนลงทุนธุรกิจขายตรงสินค้าสุขภาพผ่านแอปฯ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 21/2568 ลงวันที่ 20 มกราคม 2568 เรื่อง ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว รายงานคดีบริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายกิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์ กับพวก ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
ทรัพย์สินที่ ปปง.มีคำสั่งยึดและอายัดรวม 26 รายการ รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 32,469,183.51 บาท ได้แก่ ที่ดิน 2 แปลง และห้องชุด 19 แห่ง รวม 21 รายการ ราคาประเมิน 32,418,209 บาท และเงินสด 5 บัญชี รวม 50,914.51 บาท พร้อมดอกผล
@ที่มาคดี: ชวนลงทุนขายตรงสินค้าเพื่อสุขภาพ
กล่าวคือ ในช่วงระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ถึง 10 พฤศจิกายน 2566 นายกิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์ (ผู้ต้องหาที่ 1) บริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด (ผู้ต้องหาที่ 2) บริษัท แอฟโร ฟอร์ ไลฟ์ จำกัด (ผู้ต้องหาที่ 3) บริษัท แอฟโร โปรดักส์ จำกัด (ผู้ต้องหาที่ 4) บริษัท แอฟโร โกลบอล จำกัด (ผู้ต้องหาที่ 5) นางสาวอาทิตยา รัตนาภรพิศ (ผู้ต้องหาที่ 2) นายกรศิริ รัตนาภรพิศ (ผู้ต้องหาที่ 7) นางสาวเกศณาริณส์ นันตา (ผู้ต้องหาที่ 8) นายโสพณ วงค์สถาน (ผู้ต้องหาที่ 4) นายสุมน ฤทธิกัน (ผู้ต้องหาที่ 10) นางอุรัสม์จิรา หนูพุมเรียง (ผู้ต้องหาที่ 13) นางสาวจริยดา ธรรมศรี (ผู้ต้องหาที่ 12) ซึ่งผู้ต้องหาที่ 2 - 5 เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน มีผู้ต้องหาที่ 1 เป็นประธานผู้บริหาร และผู้ต้องหาที่ 6 เป็นรองประธานผู้บริหารประกอบธุรกิจขายตรงเกี่ยวกับสินค้าเพื่อสุขภาพกาแฟ สบู่ คอลลาเจน
โดยมีผู้ต้องหาที่ 1 ผู้ต้องหาที่ 6 ผู้ต้องหาที่ 9 ผู้ต้องหาที่ 10 และผู้ต้องหาที่ 11 เป็นผู้แนะนำโครงการและวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับแผนการตลาดและได้ชักชวนให้นางสาวภัคชรัตน์ กิติวงศ์ ผู้กล่าวหา กับพวก รวม 20 คน และประชาชนทั่วไปร่วมลงทุนกับบริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด และมีผู้ต้องหาที่ 1 ผู้ต้องหาที่ 6 ผู้ต้องหาที่ 7 ผู้ต้องหาที่ 8 และผู้ต้องหาที่ 12 ได้ร่วมกันเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อรับโอนเงินลงทุนสามารถหาสมาชิกร่วมลงทุนกับบริษัทได้ ก็จะได้รับผลตอบแทนจากการหายอดสมาชิกต่อ ๆ กันไป โดยสมาชิกสามารถร่วมลงทุนผ่านแอปพลิเคชันสยาม แอฟโร มีรูปแบบการลงทุนใน 4 ลักษณะ เรียกว่า การเข้าประตู ได้แก่
-
ประตูที่ 1 ฟอร์ ไลฟ์ ต้องเสียค่าสมัคร จำนวน 1,500 บาท และจะจะได้รหัสสำหรับทำรายการพร้อมผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จำนวน 1 ชุด
-
ประตูที่ 2 คลังสินค้า จะให้สมาชิกนำเงินไปเปิดคลังสินค้ากับบริษัท จำนวน 20,000 - 1,000,000 บาทต่อวัน แล้วจะได้รับผลตอบแทนในอัตราร้อยละ 12 ของยอดเงินลงทุนในลักษณะเงินโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารและอีพอยท์สำหรับใช้ในแอปพลิเคชัน
-
ประตูที่ 3 โครงการเพื่อนช่วยเพื่อนให้สมาชิกเข้ามาเลือกโครงการออมเงิน โดยเริ่มโครงการที่ 25,000 - 1,000,000 บาท และ
-
ประตูที่ 4 สยาม บาร์เธอร์ ทางบริษัทจะให้นำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน โดยใช้อีพอยท์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านแอปพลิเคชัน
ในช่วงแรกผู้กล่าวหาจะได้ผลตอบแทนดี แต่ต่อมาไม่ได้รับผลตอบแทน และไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหา รวมทั้งไม่สามารถเข้าทำรายการถอนเงินในระบบ ทำให้ผู้กล่าวหากับพวก เชื่อว่าผู้ต้องหากับพวกมีเจตนาหลอกลวง จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 - 12 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนเป็นคดีอาญาที่ 33/2566
ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1 - 12 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในส่วนของผู้กล่าวหาที่ 3 - 20 ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 4,391,538.83 บาท
สำหรับผู้กล่าวหาที่ 1 และ 2 ได้รับเงินคืนจากตัวแทนของผู้ต้องหาที่ 1 แล้ว จึงไม่ประสงค์จะร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวน และมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 - 12 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนไปยังอัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากรเรียบร้อยแล้ว สำนวนคดีอยู่ระหว่างพนักงานอัยการส่งฟ้องศาล
@เข้ามูลฐานความผิดฟอกเงิน
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.646/2567 ทางคดีจึงปรากฎพยานหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า บริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายกิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์ กับพวก เป็นผู้มีพฤติการณ์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายกิตติคุณ กุลลวะนิธิวัฒน์ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่ประชุมมีมมีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม. 296/2567) ลงวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รายบริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายกิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์ กับพวก
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรภรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฎหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า บริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายกิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์ กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโดงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน
@ ยึดอายัดที่ดิน-ห้องชุด-เงินสดในบัญชี
จากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 26 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินตามโฉนดที่ดิน และห้องชุดตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฎหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง โดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดำเนินการทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้ และสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว
เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถดำเนินการตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บริษัท สยาม แอฟโร (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายกิตติคุณ กุลลวะนิธีวัฒน์ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่องการตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการคารควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 26 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2568 โดยมีรายการทรัพย์สินที่ยึดและอายัดปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินแนบท้ายคำสั่งนี้ (ดูเอกสาร)
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย






ในกรณีมีผู้จึงถูกอีกและอายัดทรัพย์สินตามคำสั่งนี้หนึ่งนี้มีผู้มีส่วนใส่เสียในทรัพย์สินดังกล่าวประสงค์จะขอให้มีการเทิกลอนคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวนั้น ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมด้วยหลักฐานที่เกี่ยวซ้องที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดดังกล่าวนั้น มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือ
อนึ่ง การยักย้าย ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้หรือที่ตนรู้หรือควรรู้ว่าจะตกเป็นของแผ่นดิน อาจมีความผิดทางอาญา และต้องระวางโทษตามนัยมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา