
ที่ประชุมร่วมรัฐสภา สส.-สว. ลงมติ 507 เสียง เห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... วาระที่สาม ไม่มีคนไม่เห็นด้วย ยกเว้นความรับผิดของผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูล เบาะแส แสดงความคิดเห็น โดยสุจริต ที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง-อาญา-วินัย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 5 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา การประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สส.และสว.) มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดยเป็นการพิจารณาในวาระที่สองเรียงตามลำดับรายมาตราตั้งแต่มาตราแรกจนถึงมาตรา 7
@ แก้ไข พ.ร.ป.ป.ป.ช.ปี 61- ป้องกันฟ้องปิดปาก
โดยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีหลักการและเหตุผลแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) พ.ศ.2561 ดังต่อไปนี้
1.แก้ไขเพิ่มเติมบทยกเว้นความรับผิดของผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูล หรือเบาะแส หรือแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 132)
2.กำหนดกระบวนการ ขั้นตอน และมาตรการในการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลซึ่งได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 132 (เพิ่มมาตรา 132/1 และมาตรา 132/2)
3.กำหนดหลักเกณฑ์การปล่อยชั่วคราวบุคคลซึ่งได้ซึ่งได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 132 (เพิ่มมาตรา 132/3)
4.แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือบุคคลซึ่งได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 132 (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 162 (2))
โดยที่มาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐต้องจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
แต่โดยที่ปัจจุบันยังขาดกลไกในการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่ผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส หรือแสดงความคิดเห็นแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อันเป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวอาจถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัยจากการดำเนินการดังกล่าว สมควรกำหนดให้มีมาตรการคุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
@ โหวต วาระสาม ผ่านฉลุย 507 เสียง
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการพิจารณาเรียงรายมาตรา ชื่อร่าง ไม่มีการแก้ไข คำปรารภ ไม่มีการแก้ไข มาตรา 1 ไม่มีการแก้ไข มาตรา 2 ไม่มีการแก้ไข ส่วนมาตรา 3 มีการแก้ไข มติที่ประชุม เห็นด้วยกับกรรมาธิการขอสงวนความเห็น (นายนพดล ปัทมะและคณะ)
มาตรา 4 เพิ่มมาตรา 132/1 ไม่มีการแก้ไข มีผู้แปรญัตติขอสงวนคำแปรญัตติ มาตรา 132/2 มีการแก้ไข มีกรรมาธิการขอสงวนความเห็น และมีผู้แปรญัตติขอสงวนคำแปรญัตติ มติที่ประชุม เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการ มาตรา 132/3 มีการแก้ไข มีผู้แปรญัตติขอสงวนคำแปรญัตติ มติที่ประชุม เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการ
มาตรา 5 ไม่มีการแก้ไข มาตรา 6 มีการแก้ไข มีกรรมาธิการขอสงวนความเห็น มติที่ประชุม เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิกา และมาตรา 7 ไม่มีการแก้ไข
โดยมติที่ประชุม เห็นชอบกับร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในวาระที่สาม ด้วยมติคะแนนเห็นด้วย 507 เสียง ไม่มีผู้ไม่เห็นด้วย งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 514 เสียง
รายงานข่าวระบุว่า มาตรา 3 แก้ไขมาตรา 132 มี สส.และสว.ลุกขึ้นอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยมีนายนพดล ปัทมะ สส.พรรคเพื่อไทยกับคณะ กรรมาธิการเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็น และนายธีระพงศ มีลักษณ์ กรรมาธิการขอสงวนความเห็น โดยขอให้คงไว้ตามร่างฯเดิมขั้นรับหลักการ เนื่องจากกรรมาธิการเสียงข้างมากได้ตัดคำว่า “…หากได้กระทำโดยสุจริต” นอกจากนี้นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ยังขอแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมโดยเพิ่มคำว่า “…หรือสื่อสาธารณะ…”
สรุปที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างน้อยของนายนพดลกับคณะ ด้วยคะแนนเสียง 502 จากจำนวนผู้ลงมติ 526 คน โดยมีบทบัญญัติที่ได้แก้ไขแล้วดั้งนี้
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 132 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 132 ผู้ใดให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐาน หรือแสดงความคิดเห็น แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ‘หากได้กระทำโดยสุจริต’ ผู้นั้นย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เฉพาะส่วนความรับผิดที่เกิดจากการให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐาน หรือแสดงความคิดเห็นดังกล่าว”
ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มอบหมายให้หน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 61 มาตรา 62 มาตรา 63 หรือมาตรา 64 แล้วแต่กรณี ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่การให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐาน หรือแสดงความเห็นแก่พนักงานสอบสวน หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พนักงาน ป.ป.ท. หรือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หรือถอดถอนและมีผู้อำนาจสอบสวนหรือดำเนินการทางวินัยด้วย
@ คุ้มครองไม่ต้องรับผิดทางวินัย
ขณะที่มาตรา 4 เพิ่มมาตรา 132/2 ที่ประชุมมีมติ เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการ โดยบัญญัติดังนี้
มาตรา 132/2 ในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรา 132/1 ให้สำนักงานกระทำได้ตามความจำเป็น ซึ่งรวมถึงความช่วยเหลือดังต่อไปนี้ด้วย
(1) ในกรณีถูกฟ้องคดีแพ่ง ได้แก่
(ก) การมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่แก้ต่างให้ การจัดหาทนายความให้ หรือการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ
(ข) การสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
(2) ในกรณีถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกดำเนินคดี หรือถูกฟ้องคดีอาญา ได้แก่
(ก) กรณีอยู่ระหว่างการดำเนินการของพนักงานสอบสวบหรือพนักงานอัยการ ได้แก่ การส่งข้อมูลและมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 132 ไปให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อประกอบการพิจารณา โดยให้ถือว่าข้อมูลและมติที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ข) กรณีถูกฟ้องคดีอาญาในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ได้แก่ การมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่แก้ต่างให้ การจัดหาทนายความให้ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ หรือการขอให้พนักงานอัยการเข้าแก้ต่างให้
(ค) กรณีถูกฟ้องคดีอาญาและผู้ได้รับความช่วยเหลืออยู่ในอำนาจของศาล ได้แก่ การแจ้งมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 132 ให้ศาลทราบ และให้รวมไว้ในสำนวนเพื่อประกอบการพิจารณาทั้งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาพิพากษา
(ง) การสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คสู้คดี
(จ) การช่วยเหลือในการปล่อยชั่วคราว
(3) ในกรณีถูกดำเนินการทางวินัย ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งมติที่วินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 132 ไปให้ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยทราบ และให้ผู้มีอำนาจดังกล่าวยุติการดำเนินการทางวินัยในเรื่องนั้นทันที
เมื่อมีการมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่แก้ต่างให้ตาม (1) (ก) หรือ (2) (ข) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีอำนาจแก้ต่างในศาลได้เช่นเดียวกับทนายความ
ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นสมควรรับแก้ต่างให้ตาม (2) (ข) ให้พนักงานอัยการมีอำนาจแก้ต่างได้ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ การขอรับความช่วยเหลือ และการยกเลิกการให้ความช่วยเหลือตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ในกรณีที่ต้องมีการใช้จ่ายเงิน ให้จ่ายจากเงินกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
มาตรา 132/3 มีการแก้ไข มีผู้แปรญัตติขอสงวนคำแปรญัตติ มติที่ประชุม เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการ โดยบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 132/3 ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ความช่วยเหลือตามมาตรา 132/1 ในการปล่อยชั่วคราวแก่บุคคลซึ่งถูกควบคุมอยู่ในชั้นสอบสวน ให้สำนักงานแจ้งมติดังกล่าวไปให้พนักงานสอบสวนทราบ และให้พนักงานสอบสวนสั่งปล่อยชั่วคราวบุคคลนั้นไปโดยไม่ต้องมีประกัน
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าบุคคลดังกล่าวอยู่ในอำนาจของพนักงานอัยการ หรือศาลพนักงานอัยการ หรือศาลจะสั่งปล่อยชั่วคราวบุคคลนั้นโดยไม่มีประกันก็ได้ แต่โนกรณีที่พนักงานอัยการหรือศาลเห็นสมควรจะให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกันให้สำนักงานมีอำนาจประกันหรือวางหลักประกันดังกล่าวได้
ทั้งนี้ มาตรา 132/1 บัญญัติว่า ในกรณีที่ความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ว่าโดยทางใด ๆ ว่า บุคคลตามมาตรา 132 ถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัย อันเนื่องมาจากการดำเนินการตามมาตรา 132 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 132 หรือไม่ แล้วเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยพลัน ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าบุคคลนั้นได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 132 ให้สำนักงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไปโดยเร็ว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา