
‘สภาผู้บริโภค’ จี้ ‘ดีอี-กสทช.-สคบ.-ธปท.-สคส.' ตรวจสอบ- ‘OPPO-realme’ แอบติดตั้งแอปฯ‘กู้เงิน’ ในสมาร์ทโฟน ขณะที่ล่าสุด 2 ค่ายผู้ผลิต ออกแถลงการณ์ ‘ขออภัย’ พร้อมเร่งดำเนินการให้ ‘ผู้ใช้งาน’ ถอดแอปฯออกจากมือถือได้
........................................
เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้เผยแพร่ข้อมูลว่า ผู้ใช้โทรศัพท์หลายรายพบว่ามีแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน เช่น แอปพลิเคชันกู้เงินที่มีชื่อว่า ‘สินเชื่อความสุข’ หรือ ‘Fineasy’ ถูกติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ System App บนสมาร์ทโฟนยี่ห้อ OPPO และ realme และที่น่ากังวล คือ ไม่สามารถลบแอปฯดังกล่าวออกจากเครื่องได้ อีกทั้งแอปฯยังสามารถส่งการแจ้งเตือนเชิญชวนให้กู้เงิน รวมถึงเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ได้
"การที่แอปฯฝังตัวอยู่ในระบบของสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปไม่สามารถควบคุมหรือป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การแอบติดตั้งซอฟต์แวร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้นับเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน และเสี่ยงต่อการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การล่วงละเมิดทางการเงิน หรือการหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น" สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุ
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้องไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลบุคคล (สคส.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่อาจนำไปสู่ปัญหาภัยทุจริตทางการเงินออนไลน์
ขณะที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ม.ค. เพจเฟซบุ๊ก OPPO ประเทศไทย และเพจเฟซบุ๊ก realme ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ขออภัยผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทั้ง 2 ยี่ห้อแล้ว
โดยแถลงการณ์ของ OPPO ประเทศไทย มีเนื้อหาว่า “OPPO ขออภัยเป็นอย่างสูงในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นประเด็นบนหน้าสื่อฯออนไลน์ โดย OPPO ตระหนักและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยต้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเสมอมา สำหรับประเด็นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์จากบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกู้ยืมเงินนั้น เรากำลังทำงานกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจังและรวดเร็วที่สุด
ล่าสุด แอปฯ Fineasy ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคงไว้เฉพาะฟังก์ชันบริการเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเท่านั้น นอกจากนี้ เรากำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถถอนการติดตั้งแอปฯ Fineasy ได้โดยเร็วที่สุด หากผู้ใช้งานต้องการถอนการติดตั้งแอปฯในทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้า OPPO อย่างเป็นทางการได้ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ OPPO จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันประเภทสินเชื่อทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า รวมถึงการหยุดแนะนำแอปฟลิเคชันประเภทนี้ใน APP Market อีกด้วย”

ส่วนแถลงการณ์ของ realme ประเทศไทย มีเนื้อหาว่า “realme ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น realme ให้ความสำคัญอย่างสูงกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานทุกท่าน ดังนั้น สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับบริการสินเชื่อจากแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัท realme กำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดการอย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด
โดยแอปฯ Fineasy ได้ทำการลบข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อออกทั้งหมด และคงไว้เพียงฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริการในชีวิตประจำวันเท่านั้น และจะเร่งปล่อยอัปเดตสิทธิ์ให้ผู้ใช้งานให้สามารถลบแอป Fineasy และหากผู้ใช้งานต้องการลบแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการ realme ได้ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ realme จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันสินสินเชื่อทุกประเกทในสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไป และหยุดการแสดงผลแอปพลิเคชันสินเชื่อเป็นแอปแนะนำใน APP Market”

@เรียกร้อง‘OPPO-realme’ถอดแอปฯโดยเร็ว
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า กรณี OPPO และ realme ติดตั้งแอปกู้เงิน ‘Fineasy’ บนสมาร์ทโฟน โดยติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ System App นั้น เป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคอย่างชัดแจ้ง โดยเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคตามมาตรา 4 (2) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่ระบุว่าผู้บริโภคมีสิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ รวมทั้งอาจกระทบสิทธิของผู้บริโภคในการที่จะได้รับสินค้าที่มีความปลอดภัยจากการซื้อสินค้าหรือบริการตาม มาตรา 4 (3)
ขณะเดียวกัน กรณีดังกล่าวยังเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ในแง่ของการที่ผู้ประกอบการมีส่วนในการเสนอขายสินค้าหรือบริการให้แก่ประชาชน โดยที่ประชาชนไม่ประสงค์จะรับบริการในส่วนนั้นๆ และยังมีการเฝ้าติดตามพฤติกรรมของประชาชนผ่านระบบสมาร์ทโฟน อีกทั้งยังคาบเกี่ยวไปถึงกรณีการให้บริการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. รวมทั้งยังทำให้ประชาชนตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของอาชญกรรมทางเทคโนโลยีด้วย
“มันมีเหตุเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยกับผู้บริโภค และเกิดจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจโดยตรง เราจึงอยากเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทมือถือว่า แม้ว่าจะมีการออกแถลงการณ์มาแล้วว่า จะดำเนินการจัดการกับระบบที่ไม่ปลอดภัยดังกล่าว แต่คิดว่าบริษัทฯไม่ควรสร้างเป็นภาระให้กับผู้บริโภค อย่างเช่นบอกให้ผู้บริโภคต้องไปที่ศูนย์บริการ แต่ควรเร่งดำเนินการเพื่อทำให้การให้บริการมือถือมีความปลอดภัยกับผู้บริโภคโดยเร็วที่สุด และควรออกมาให้ข้อมูลหรือชี้แจงกับประชาชนว่าข้อมูลหรือแอปฯที่ไม่พึงประสงค์ ติดมาอยู่กับตัวสินค้าได้อย่างไร” นายอิฐบูรณ์
นายอิฐบูรณ์ ยังกล่าวว่า สภาผู้บริโภคจะทำหนังสือส่งไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง 5 หน่วยงาน เพื่อขอให้เข้ามาดำเนินการในกรณีนี้ ได้แก่
1.ขอให้ สคบ.เข้ามาดูแลผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สินค้าหรือบริการที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเรื่องความปลอดภัยนั้น ไม่ใช่เพียงความปลอดภัยในเรื่องสุขภาพ ร่างกาย หรือชีวิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความไม่ปลอดภัยในทรัพย์สินด้วย
2.ขอให้ กสทช. อาศัยอำนาจตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการโทรคมนาคมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางโทรคมนาคม พ.ศ.2566 ซึ่งกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องมีมาตรการในการป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล และมีการกำหนดข้อกติกาที่สำคัญ คือ ให้ผู้ใช้บริการสามารถยกเลิกหรือปฏิเสธหรือไม่ใช้บริการใดๆ หรือบอกปฏิเสธข้อมูลใดๆที่ตัวเองไม่ต้องการ ได้โดยง่าย
“แม้ว่ากรณีดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้รับอนุญาตโดยตรง แต่มีส่วนคาบเกี่ยวกันที่ กสทช. และผู้รับใบอนุญาตจะต้องมีการระมัดระวัง ปรับปรุงการให้บริการให้รอบคอบ มีการตรวจทาน เพื่อทำให้การใช้บริการโทรคมนาคมมีความปลอดภัยกับผู้บริโภค” นายอิฐบูรณ์ กล่าว
3.ขอให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลบุคคล (สคส.) ตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่ามีการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ อย่างไร พร้อมดำเนินการบังคับใช้กฎหมายพีดีพีเอ (PDPA) โดยเร็ว
4.ขอให้ ธปท. ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชน ทำงานเชิงรุกในเรื่องนี้ โดยการเร่งออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อผิดกฎหมาย และเนื่องจากปัจจุบัน ธปท.มีการเผยแพร่รายชื่อสถาบันการเงินหรือบริษัทสินเชื่อที่อยู่ภายใต้กำกับฯอยู่แล้ว จึงอยากให้ ธปท.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติปราบปรามแอปฯเงินกู้เถื่อน หรือแอปฯเงินกู้ต่างๆที่ไม่มีความปลอดภัยกับประชาชน
5.ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยในการใช้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ต้องเรียกบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและแพลตฟอร์ม เช่น เพลย์สโตร์ (Play Store) เข้าหารือ เพื่อกำหนดมาตรการคัดกรองและบล็อกแอปพลิเคชันผิดกฎหมาย
ด้าน นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีการติดตั้งแอปพลิเคชันในระบบของสมาร์ทโฟน โดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องการหรือความประสงค์จะติดตั้งแอปฯเหล่านั้นกว่า 1,800 เรื่อง โดยเฉพาะการติดตั้งแอปฯเงินกู้เถื่อนที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด
“การหาลูกค้าของเขา มีทั้งการโฆษณาบนเฟซบุ๊ก ยูทูบ รวมทั้งแอปพลิเคชันที่ปรากฏเป็นข่าว แต่เวลากู้เงิน เช่น กู้ 2,000 บาท ได้เงินจริงเพียง 700-800 บาท และภายในอาทิตย์เดียว ต้องมานั่งชำระหนี้ดอกเบี้ยหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่คือที่มาของปัญหา ซึ่งกรณีนี้หลังจากเราได้รับเรื่องแล้ว เราได้เรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจยี่ห้อ OPPO และ realme ทำการถอนแอปฯโดยเร็ว รวมทั้งได้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินการต่อแล้ว” นายภัทรกร ระบุ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา