เผยมติ ป.ป.ช.เสียงเอกฉันท์ตีตกคดี 'พิพัฒน์ เอกภาพันธ์' อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย จัดตั้งมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาบังคับจำหน่ายเหรียญพระแม่ย่าให้ข้าราชการแล้วนำรายได้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏพฤติการณ์พยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่ามีการกระทำผิด เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงเอกฉันท์ตีตกคดีกล่าวหา นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย จัดตั้งมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัยและบังคับจำหน่าย เหรียญพระแม่ย่าให้กับข้าราชการในจังหวัดสุโขทัยแล้วนำรายได้จากการจำหน่ายไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาเห็นควรให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป
สำนักงาน ป.ป.ช. ระบุพฤติการณ์การกระทำความผิดโดยสรุปว่า นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยขณะนั้น ได้จัดตั้งกองทุนโดยมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว โดยได้นำเหรียญจากการจัดทำขึ้นเพิ่มเติม จำนวน 199 เหรียญนั้นไปจำหน่าย หรือไปเป็นประโยชน์ส่วนตน หรือผู้อื่น ซึ่งหากมีการบังคับหรือเรี่ยไรให้ส่วนราชการหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งจัดซื้อโดยผู้อื่นนั้นไม่เต็มใจ แต่เนื่องจากได้จัดซื้อเพราะเหตุที่เกรงกลัวต่อตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเกรงกลัวต่ออำนาจในการบังคับบัญชา
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า กรณีการก่อตั้งมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัยเป็นการก่อตั้งเป็นการดำเนินการในนามส่วนตัว ของนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ กับคณะบุคคล โดยการก่อตั้งมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย เป็นการก่อตั้งมูลนิธิ ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบกฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียนมูลนิธิ การดำเนินกิจการและการทะเบียนมูลนิธิ พ.ศ. 2545 ไม่ได้มีระเบียบหรือกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจโดยตรงในการจัดตั้งมูลนิธิแต่อย่างใด จึงมิได้อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะรับไว้พิจารณา
ทั้งนี้ การจัดทำและจำหน่ายเหรียญพระแม่ย่า เมื่อปี 2561 เป็นการดำเนินการโดยกลุ่มบุคคลซึ่งมีนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยในขณะนั้นเป็นประธานในการจัดทำและจำหน่าย โดยมีเจตนาที่จะนำรายได้จากการจำหน่ายเหรียญพระแม่ย่ามาดำเนินการก่อตั้งมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย ซึ่งการดำเนินการจำหน่ายเหรียญพระแม่ย่าได้มีการจัดสรรให้ส่วนราชการภายในจังหวัดนำไปจำหน่ายให้แก่ประชาชน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานจังหวัดสุโขทัย และมีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจสั่งจองผ่านโบรชัวร์ ซึ่งหลังจดจัดตั้งมูลนิธิได้ 10 วัน ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก นั่นหมายความว่า นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัยในจังหวัดสุโขทัยเพียง 10 วัน และมีเพียง 18 หน่วยงาน จาก 184 หน่วยงานเท่านั้นที่ให้ความอนุเคราะห์ในการเป็นตัวแทนนำเหรียญไปจำหน่ายให้ผู้ที่มี ความศรัทธาไปเช่าบูชา โดยหน่วยงานท้องถิ่นรับเหรียญไป จำนวน 1,978 เหรียญ ส่งคืน จำนวน 1,143 เหรียญ มีผู้ศรัทธาบูชา จำนวน 535 เหรียญ และเป็นหน่วยงานที่คืนเหรียญมากที่สุด
จึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีการบังคับหรือเรี่ยไรให้ส่วนราชการหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งจัดซื้อโดยผู้อื่นนั้นไม่เต็มใจ โดยประชาชน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานที่สนใจสั่งจองสามารถโอนเงินค่าสั่งจองเข้าธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี กองทุนพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย ซึ่งเหรียญพระแม่ย่าที่ไม่มีประชาชน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงาน สนใจก็จะจัดส่งคืนให้กับมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัยต่อไป โดยเหรียญเนื้อโลหะชุบทอง (เหรียญที่ระลึก) จำนวน 199 เหรียญ นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ได้รับเหรียญดังกล่าวไปทั้งหมด แต่เหรียญเนื้อโลหะชุบทอง (เหรียญที่ระลึก) จำนวน 199 เหรียญดังกล่าว เป็นการจัดทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปแจกให้แก่คณะกรรมการ คณะทำงาน ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำเหรียญซึ่งภายหลังแจกจ่ายให้กับคณะกรรมการ คณะทำงาน เหรียญเนื้อโลหะชุบทอง (เหรียญที่ระลึก) ได้มีการส่งคืนจำนวน 144 เหรียญ และภายหลังได้มีการเบิกเพื่อไปแจกจ่ายเพิ่มอีกจำนวน 20 เหรียญ ปัจจุบันเหรียญเนื้อโลหะชุบทอง (เหรียญที่ระลึก) คงเหลือจำนวน 124 เหรียญ)
เงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายเหรียญพระแม่ย่าดังกล่าวข้างต้นนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ร่วมกับคณะ ได้นำไปเป็นเงินทุนเริ่มแรกในการก่อตั้งมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย โดยโอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี กองทุนพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย ไปยังบัญชีเงินฝากเผื่อเรียก ธนาคารออมสิน ชื่อบัญชี มูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย และได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนจังหวัดสุโขทัยที่ขาดโอกาส มีฐานะยากจน มีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อ ในระดับปริญญาตรี จำนวน 45 ราย และทางมูลนิธิได้มอบเหรียญพระแม่ย่าให้โรงพยาบาลศรีสังวรไปจำหน่ายเอง จำนวน 1,000 เหรียญ และนำรายได้ไปปรับปรุงห้องฉุกเฉิน ไม่ต้องนำเงินส่งคืนมูลนิธิ และทางมูลนิธิได้มีหนังสือไปสอบถาม โรงพยาบาลศรีสังวรมีหนังสือถึงมูลนิธิ แจ้งให้ทราบว่า ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2561 จำหน่ายได้จำนวน 464 เหรียญเป็นเงิน 827,000 บาท และยังคงเหลืออีกจำนวน 536 เหรียญ ซึ่งจะทยอยจำหน่ายต่อไป ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ส่วนเงินที่ได้จากการจำหน่ายก็จะนำมาซื้ออุปกรณ์การแพทย์และซ่อมแซม บำรุงรักษา ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ตามแผนพัฒนาของโรงพยาบาล โดยมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัยจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเก็บรักษาเงินเบิกจ่ายเงินกองทุน สำหรับมูลนิธิจะมีคณะอนุกรรมการเบิกจ่ายเงิน คณะอนุกรรมการเก็บรักษาเงินและเปิดตู้บริจาค เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด พร้อมเก็บหลักฐานเอกสารไว้เพื่อการตรวจสอบจากสรรพากรและส่งผู้สอบบัญชีตรวจสอบ และรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบโปร่งใสตรวจสอบได้
จากการตรวจสอบการยื่นบัญชีฯ ราย นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ พบว่าได้ยื่นบัญชีแสดงรายการ ทรัพย์สินและหนี้สินในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ยื่นบัญชีฯ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2558 และยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในตำแหน่งผู้ว่าราชการ จังหวัดพิษณุโลก กรณีพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ยื่นบัญชีฯ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 110/2565 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 มีมติว่ารายการทรัพย์สินและหนี้สินที่แสดงถูกต้องและมีอยู่จริง ผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินไม่ปรากฏว่า ผิดปกติหรือมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
สำหรับการดำเนินการแต่งตั้งหรือคัดเลือกกรรมการบริหารกองทุนหรือมูลนิธิ วาระการดำรงตำแหน่งของประธาน อำนาจหน้าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนหรือ มูลนิธิดังกล่าว จึงเป็นไปตามข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ข้อบังคับมูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัย หมวด 4 ข้อ 7 และ 8 หมวด 5 ข้อ 9 - 15 หมวด 6 ข้อ 16 - 23 ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ว่ารายใด หรือประชาชนไม่ว่ารายใด หากกรรมการมูลนิธิมีความเห็นร่วมกันให้เข้าเป็นกรรมการมูลนิธิหรือประธานมูลนิธิ ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้เข้าเป็นกรรมการหรือประธานมูลนิธิได้ มิได้แตกต่างจากมูลนิธิอื่นทั่วประเทศ แต่ประการใด รวมถึงความเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็มิได้มีผลเป็นการลดหรือเพิ่มหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไขใด ๆ ที่ระเบียบกฎหมายกำหนดไว้ในการดำเนินการมูลนิธิ
อนึ่ง มูลนิธิพิพัฒน์การศึกษาสุโขทัยมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่อยู่ในกำกับดูแลของ รัฐทุกระดับทั้งในราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ จึงมิใช่หน่วยงาน ของรัฐตามบทนิยามคำว่า "หน่วยงานของรัฐ" และไม่อยู่ในบังคับของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544 และเมื่อพิจารณาระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544 ข้อ 22 ถึงแม้จะปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยปรากฏ การแสดงตำแหน่งหน้าที่ให้ปรากฏในการดำเนินการเรี่ยไร ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาด้วยสิ่งพิมพ์ตามกฎหมาย ว่าด้วยการพิมพ์หรือสื่ออย่างอื่นหรือด้วยวิธีการอื่นใด แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่า มีการสั่ง ขอร้อง หรือบังคับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคคลใดช่วยทำการเรี่ยไรให้ หรือกระทำในลักษณะที่ทำให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคคลอื่นนั้นต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงที่จะไม่ช่วยทำการเรี่ยไรให้ได้ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อมแต่อย่างใด
ผลการพิจารณาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง จากการไต่สวนข้อเท็จจริงไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาเห็นควรให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป