ปปง.อายัดทรัพย์ ‘ดิไอคอนฯ’ รอบ 4 เพิ่มอีก 89 รายการ มูลค่ารวม 144 ล้านบาท หลังยึดไปแล้วก่อนหน้านี้ 3 ครั้ง 52 รายการ มูลค่ากว่า 176 ล้านบาท โดยรายการที่ยึดใหม่มีทั้งหุ้น, สินทรัพย์ดิจิทัล, ตราสารหนี้ และเงินฝาก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 25 ตุลาคม 2567 นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เปิดเผยว่า ตามที่ เลขาธิการ ปปง. และคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก พร้อมดอกผลไว้ชั่วคราว ได้แก่ คำสั่งที่ ย. 214/2567 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2567, คำสั่งที่ ย. 222/2567 (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2567และคำสั่งที่ ย. 223/2567 (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2567 โดยทั้ง 3 คำสั่งดังกล่าวมีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินรวมจำนวน 52 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 176,044,615 บาทนั้น
เนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานอันมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีดังกล่าว และกรณีมีความจำเป็น เร่งด่วน เลขาธิการ ปปง. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 48 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. 2542 ออกคำสั่งที่ ย.224/2567 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีนี้เพิ่มเติม โดยเป็นทรัพย์สินประเภทหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ หน่วยลงทุน และสินทรัพย์ดิจิตอล จำนวน 26 รายการ และเป็นทรัพย์สินประเภทเงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร จำนวน 63 รายการ รวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัดทั้งสิ้น 89 รายการ มูลค่าประมาณ 144,275,765 บาท พร้อมดอกผลไว้ชั่วคราวมีกำหนดไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้ รวมทั้ง 4 คำสั่ง มูลค่าทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดเป็นเงินประมาณ 320,320,308 บาท
สำนักงาน ปปง. เน้นย้ำว่าทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้น หากผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือกระทำ ด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อาจมีความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ