เอกชนยื่น 4 ข้อเสนอ เร่งเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ-ชู 'สระบุรี' แซนด์บ็อกซ์เมืองต้นแบบแห่งแรก ด้าน 'ประเสริฐ' ยันรัฐบาลพร้อมผลักดัน-ดึงดูดทุนต่างชาติด้วยเศรษฐกิจสีเขียว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (เอสซีจี) กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ 'ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย' ในงาน ESG Symposium 2024: Driving Inclusive Green Transition ยิ่ง 'เร่งเปลี่ยน' ยิ่ง 'เพิ่มโอกาส' ว่า ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนรวมกว่า 3,500 คน ร่วมแสดงพลังและระดมสมองเพื่อหาแนวทางร่วม-เร่ง-เปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนในปีที่ผ่านมาซึ่งมีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ในงาน ‘ESG SYMPOSIUM 2024: Driving Inclusive Green Transition ยิ่งเร่งเปลี่ยน ยิ่งเพิ่มโอกาส’ และได้สรุปเป็นแนวทางนำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อเร่งผลักดันให้เกิดขึ้น ผ่าน 2 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด พร้อมกับผลักดันระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และการใช้ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย เป็นพื้นที่ทดลองแก้ปัญหาข้อติดขัด ทั้งในเชิงนโยบาย ระบบอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ควบคู่กับการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายธรรมศักดิ์ กล่าวสรุปถึง 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ เพื่อเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่
ปลดล็อกกฎหมายและข้อกำหนด (Law & Regulations)
โดยภาครัฐเร่งเปิดเสรีซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงง่ายขึ้น สำหรับโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ กำหนดให้มีระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า เพื่อความเสถียรยิ่งขึ้น ภาครัฐนำการจัดทำกฎหมายแม่บทว่าด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนครอบคลุมทั้งระบบ กระตุ้นการบริโภคอย่างยั่งยืน ส่งเสริมผู้ผลิตออกแบบผลิตภัณฑ์โดยใช้วัสดุทดแทนหรือวัสดุรีไซเคิล และจัดการของเสีย กำหนดมาตรการจูงใจ
Advertisment
เช่น ลดภาษีหรือเงินสนับสนุน รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนส่งเสริมนโยบาย ‘Green Priority’ ให้ความสำคัญกับการใช้สินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐนำร่องจัดซื้อ จัดจ้าง เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้ากรีนและสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) เข้มแข็ง
ผลักดันการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance)
โดยสนับสนุนงบประมาณพัฒนาบุคลากรของผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนคาร์บอน ที่เป็นมาตรฐานสากล และจัดตั้งหน่วยงานในประเทศให้สามารถรับรองมาตรฐานดังกล่าว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการทำคาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปขอเงินทุนสีเขียว โดยเอสซีจีพร้อมเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน และเป็นตัวกลางประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ
พัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Technology & Green Infrastructure)
โดยรัฐสนับสนุนการใช้และพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานรูปแบบต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่กักเก็บความร้อน (Heat Battery) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานหมุนเวียน ปรับปรุงโครงสร้างและผลักดันการใช้โครงสร้างพื้นฐานสีเขียวที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น นำพื้นที่ว่างมาใช้ประโยชน์ในการผลิตพลังงานสะอาด และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบสายส่งไฟฟ้าให้เพียงพอกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
นอกจากนี้เร่งปรับปรุงระบบขนส่งสีเขียวครบวงจร ให้ใช้พลังงานสะอาดและประหยัดพลังงาน ลดต้นทุน ลดเวลา เช่น ใช้ระบบวิเคราะห์เส้นทาง วิเคราะห์การบรรทุกสินค้าที่เหมาะสม ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกขยะ ส่งเสริมการแยกขยะเปียกและขยะแห้ง โดยจัดตั้งศูนย์คัดแยกและจัดการขยะที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม เช่น เทคโนโลยีการคัดแยก ระบบบำบัดและจัดการขยะเหลือทิ้ง
สนับสนุนการปรับตัว เสริมศักยภาพการแข่งขัน SMEs
พัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดต้นทุน ส่งเสริมการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Automation) และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs
“อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว จะเห็นผลเป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับบริบทประเทศไทยยิ่งขึ้น หากรัฐบาลสนับสนุนการเดินหน้า ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เพื่อเป็นพื้นที่ทดลอง บูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (Public–Private–People Partnership) และนำทั้ง 4 ข้อเสนอมาปฏิบัติในพื้นที่จริง ซี่งจะทำให้เห็นโอกาสและข้อจำกัด แนวทางแก้ไข โดยรัฐบาลส่งเสริมกระจายอำนาจการตัดสินใจและการดำเนินงานสู่หน่วยงานในระดับพื้นที่ เพื่อลดขั้นตอนและความไม่ชัดเจนในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนทุกด้านมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น และจะเป็นโอกาสขยายผลไปสู่จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศในอนาคต” นายธรรมศักดิ์ กล่าว
ไทยประสบภัยพิบัติธรรมชาติกว่า 137 ครั้ง เสียหายต่อเศรษฐกิจลำดับ 9 ของโลก
นอกจากนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เข้าร่วมการรับฟังความคิดเห็นและกล่าวแสดงวิสัยทัศน์เพื่อผลักดันประเทศไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน ว่า รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนและคนรุ่นใหม่ มารวมตัวรวมพลังระดมสมองอย่างเข้มข้น เพื่อที่จะหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่สําคัญที่สุด คือ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลก (climate change)
ตลอดช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงกว่า 137 ครั้ง จนส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ และถูกจัดให้อยู่ในลําดับที่ 9 ของประเทศทั่วโลก ที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาในช่วงเดือน เม.ย. ประเทศไทยเผชิญความร้อนรุนแรง ทำให้ภัยแล้งขยายตัวในวงกว้างหลายจังหวัด จนเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำสําหรับทําการเกษตร และในช่วงนี้เกิดภาวะฝนตกหนักผิดปกติจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านทางตอนบนของภาคเหนือ ส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ น่าน เป็นต้น ประสบกับวิกฤตการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม
"รัฐบาลได้ติดตามดูเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และลงพื้นที่ไปดูสถานการณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลําปาง ซึ่งได้เห็นด้วยตัวเองถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งเห็นความลําบากของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทําให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป รัฐบาลตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระระดับโลก และเป็นความเสี่ยงสูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะ 10 ปี ข้างหน้า จากสถานการณ์ดังกล่าว ได้มีการกําหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส สำหรับประเทศไทยมีแผนที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2065 " นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับการปรับตัว และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างเร่งด่วนโดยเน้น 6 สาขาหลัก ได้แก่ การจัดการทรัพยากรน้ำ/เกษตรและความมั่นคงทาง อาหาร/การท่องเที่ยว/สาธารณสุข การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ พร้อมกําหนดแผนงานและยุทธศาสตร์ในระดับประเทศและพื้นที่ โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนสอดคล้องกับตัวชี้วัดระดับโลก และจะเร่งพัฒนาข้อมูลความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนํามาใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลเพื่อวางแผนออกแบบ และยกระดับระบบการเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า (Early Warning System) ให้สามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างทันท่วงที
นายประเสริฐ กล่าวถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ว่า รัฐบาลมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยจะมีการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพแหล่งกักเก็บและระบบกระจายน้ำทั่วประเทศ พร้อมกับการขยายเขตชลประทาน เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทําให้ทุกหมู่บ้านในประเทศไทยสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดภายในเวลา 3 ปี
ทั้งนี้ รัฐบาลจะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ ที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่เพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งระบบเศรษฐกิจสีเขียวนี้ 'เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุน' จากต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งการเตรียมพร้อมรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะเกิดขึ้น เช่น กลไกปรับราคาคาร์บอน ข้ามพรมแดน หรือ CBAM (ซี-แบม) ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2569 - 2570 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
นอกจากนี้ จะมีการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ และพลังงานทางเลือกอื่น ๆ พร้อมกับพัฒนาตลาดซื้อขายไฟฟ้า เสรีและตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะสนับสนุนการปรับกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และธุรกิจบริการ ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เร่งดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ในส่วนด้านกฎหมาย นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อกําหนด เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมจัดตั้ง กองทุนสภาพภูมิอากาศ (Climate Fund) และพัฒนานิยามการเงินสีเขียว (Green Taxonomy) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกภาคส่วนในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในภาคธุรกิจก็จะต้องปรับตัว แสวงหาโอกาส และเสริมสร้าง ขีดความสามารถในการตอบสนองต่อเป้าหมาย Net Zero เน้นบูรณาการมาตรการเพื่อความยั่งยืน (ESG) เพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน พร้อมกล่าวเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนทุก ๆ นโยบายสําคัญเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่การเจริญเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง