‘ศาลปกครองกลาง’ สั่ง ‘ทอท.’ จ่ายค่าสินไหมทดแทนฯ 2.99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ปมตั้งเต็นท์ขวางทางเข้า-ออก‘เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ฯ’ เมื่อปี 62
........................................
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ศาลปกครองกลางได้อ่านผลแห่งคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 1914/2562 คดีหมายเลขแดงที่ 2210/2567 ระหว่าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ และบริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด ที่ 2 ผู้ฟ้องคดี กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ผู้ถูกฟ้องคดี
โดยคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2562 ผู้ถูกฟ้องคดีตั้งเต็นท์ขวางทางเข้าออกโครงการเซ็นทรัล วิลเลจฯ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินให้ทำทางเชื่อม ในเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านถนนบางนา-บางวัว ได้เป็นการชั่วคราว โดยอ้างว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์
การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเสียหาย เนื่องจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ และโครงการเซ็นทรัล วิลเลจฯ มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 31 ส.ค.2562 ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามการกระทำและให้ผู้ถูกฟ้องคดียุติการกระทำอันเป็นการขัดขวาง รบกวน หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการใช้ทางเข้าออกของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 145,587,656.76 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า ที่ดินบริเวณที่กรมทางหลวงก่อสร้างทางเข้าออกด้านทิศใต้ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 มีกระทรวงการคลัง (ในราชการกรมการบินพาณิชย์) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยกรมการบินพาณิชย์ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกรมท่าอากาศยาน) ได้ดำเนินการสำรวจและเจรจาตกลงซื้อขายกับราษฎรเจ้าของที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสร้างทางเข้าออกสนามบินพาณิชย์ ในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ.2505 และ พ.ศ.2511 เพื่อจัดสร้างสนามบินหรือท่าอากาศยานพาณิชย์
ที่ดินดังกล่าว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามมาตรา 1304 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 โดยกรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุไว้แล้ว
แม้ต่อมาเมื่อกรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางเข้าออกด้านทิศใต้ของท่าอากาศสุวรรณภูมิบนที่ราชพัสดุดังกล่าวแล้วเสร็จ และจัดระบบหมายเลขทางหลวงเป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ก็ตาม แต่เมื่อไม่มีการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 หรือมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ที่ดินดังกล่าวจึงยังคงมีสถานะเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามแผนที่แนบท้ายข้อตกลงการใช้ประโยชน์ (สนามบินสุวรรณภูมิ) ฉบับลงวันที่ 30 ก.ย.2545 ที่กรมการบินพาณิชย์ตกลงให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ปัจจุบันคือผู้ถูกฟ้องคดี) ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกรมการบินพาณิชย์อันเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวนเนื้อที่ประมาณ 19,251 ไร่ นั้น ไม่ได้รวมถึงที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้างทางเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านทิศใต้ด้วยแต่อย่างใด
ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะตั้งเต็นท์ในที่ราชพัสดุดังกล่าวเพื่อขวางทางเข้าออกหน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจฯ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รับความเสียหายจากการที่ไม่อาจใช้ทางเข้าออกได้ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ศาลพิพากษาห้ามผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการและให้ยุติการกระทำใดๆ อันเป็นการขัดขวาง รบกวน หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ทางเข้าออกหน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจฯ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ที่อยู่ติดกับเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านถนนบางนา-บางวัว ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินให้ทำทางเชื่อมในเขตทางหลวงได้เป็นการชั่วคราว
และให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 2,991,201.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เม.ย.2564 และในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 7 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ชำระให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
และให้คำสั่งของศาลลงวันที่ 30 ส.ค.2562 ที่กำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ และในกรณีที่มีการอุทธรณ์ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนตามส่วนของการชนะคดี และค่าธรรมเนียมศาลที่ชำระไว้เกินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง