วงเสวนาฯ ห่วง ‘กลุ่มทุนใหญ่’ เข้ามายึดกุมอำนาจรัฐ ‘เลขาฯ ACT’ มองไทยมาถึงยุค‘Money Politics’ มี‘คอร์รัปชั่น’ทุกระดับ ขณะที่ ‘ประธาน TDRI’ ชี้กลุ่มทุนใหญ่เข้าควบคุมอำนาจรัฐ จนไทยกลายเป็น ‘ประเทศเสรีในการผูกขาด’ ด้าน ‘สฤณี’ มองกลุ่มทุนยึดอำนาจรัฐ เลวร้ายกว่า ‘คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย’
.......................................
เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ร่วมกับสถาบันสังคมประชาธิปไตย และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดเสวนาเรื่อง “ปัญหาเศรษฐกิจผูกขาดประเทศไทย การเมืองและกฎหมายจะกำกับกลุ่มทุนได้อย่างไร”
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า วันนี้กลุ่มทุนกำลังคิดว่าจะกำกับการเมืองและกฎหมายอย่างไร มากกว่าที่การเมืองและกฎหมายจะกำกับกลุ่มทุนอย่างไร ทำให้วันนี้การเมืองไทยไปเอื้อทุน ทุนไปกำกับรัฐ และรัฐเข้าไปเอื้ออำนวยให้กับกลุ่มทุนพวกพ้อง ส่งผลให้เกิดกลุ่มทุนเข้าไปคุมรัฐหรือ state capture เห็นได้จากการที่กลุ่มทุนเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล หรือจัดให้เกิดดีลทางการเมืองเกิดขึ้น จากนั้นผู้นำการเมืองก็เรียกกลุ่มทุนมาสยบยอม และดึงกลุ่มทุนเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อไป
“การผูกขาดทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุน มักเกิดขึ้นจากรัฐไทยเข้าไปเอื้อประโยชน์และให้สัมปทานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน นอกจากนี้ ยังมีการผูกขาดโดยรัฐยินยอม เช่น การขออนุญาตควบรวมกิจการจากรัฐและรัฐอนุญาต เป็นต้น นอกจากนั้นยังเกิดการผูกขาดโดยรัฐทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกด้วย จนประเทศไทยเป็นประเทศเสรีในการผูกขาด กลายเป็นรัฐขูดรีดในที่สุด” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ ระบุว่า จากบทเรียนของสหรัฐฯ การผูกขาดทำให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนและแรงงานจำนวนมาก มีกลุ่มทุนที่ร่ำรวยมาจากการเอาเปรียบประชาชนถูกมองเป็นอภิมหาเศรษฐีโจร เพราะเติบโตจากการแย่งชิงทรัพยากร ตัวอย่างเช่น การผูกขาดการขนส่งรถไฟจนนำไปสู่การประท้วงใหญ่ จนเกิดพรรคการเมืองที่มีนโยบายต่อสู้กับทุนผูกขาดโดยตรง กระทั่งต่อมามีการออกกฎหมายต่อต้านการผูกขาดโดยได้รับฉันทานุมัติจากสภา
“สถานการณ์ในสหรัฐฯในตอนนั้น คล้ายกับไทยในเวลานี้ คือ กฎหมายการต่อต้านการผูกขาด อยู่ภายใต้ดุลยพินิจของรัฐ ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับทุน รวมถึงศาลด้วย แต่ปัจจุบันทุนในอเมริกาที่เติบโตแบบอภิมหาเศรษฐีโจร ไม่ได้ยอมรับจากประชาชนและไม่สามารถเสวยสุขอย่างมีเกียรติได้ สุดท้ายต้องมาตั้งมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์ขึ้น ดังนั้น ภาคประชาชนจะต้องเข้มแข็งรวมกันตั้งพรรคประชาชนเพื่อรณรงค์อย่างเข้มข้น
และต้องรณรงค์ไม่ยอมรับอภิมหาเศรษฐีที่เติบโตมาจากการผูกขาด การรณรงค์เช่น การทำรายชื่อธุรกิจที่ทุนผูกขาดไปถือหุ้นอยู่ บางเรื่องอาจจะเลือกไม่ได้เช่นกรณีโทรศัพท์มือถือ แต่หลายอย่างเรามีทางเลือกได้ เช่นการปฏิเสธ สนับสนุนธุรกิจผูกขาดร้านกาแฟ เป็นต้น และควรเลิกเชิดชูบรรดาเจ้าสัว ทุนผูกขาดที่เติบโตจากการเอารัดเอาเปรียบประชาชน มหาวิทยาลัยไม่ต้องให้ปริญญากิตติมศักดิ์” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ ยังระบุว่า “ฝรั่งมีคำว่า เบื้องหลังความร่ำรวยลึกล้ำ คืออาชญากรรมซ่อนเร้น ประเทศไทยควรเข้าร่วมประชาคมระหว่างประเทศที่ต่อต้านการผูกขาด จะเป็นการเสริมพลังในเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้ควรเป็นวาระของประชาชนผู้เสียภาษีและในฐานะผู้บริโภค ในฐานะพลเมืองที่รักประชาธิปไตย” นายสมเกียรติ กล่าว
ด้าน น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการป่าสาละ กล่าวว่า รัฐมีหน้าที่กำกับดูแลกลุ่มทุนต่างๆ แต่จะดูแลกำกับได้จริงหรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาจากการที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายว่า รัฐบาลจะดูแลปกป้องผู้ประกอบการ SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งต่างชาติเท่านั้น ไม่ได้มองว่าการผูกขาดของกลุ่มทุนไทยเองเป็นปัญหา เช่นกัน จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทยไปในตัว
“10 ปี ให้หลังมานี้เศรษฐกิจประเทศไทยเลวร้ายกว่าการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ปัจจุบันกลายเป็นการยึดรัฐโดยตรงของกลุ่มทุนต่างๆ เกิดการฉ้อฉลเชิงอำนาจ การบิดเบือนอำนาจรัฐที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน ปัญหา State Capture ในปัจจุบันเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากกลุ่มทุนยึดรัฐ และถ้าเข้าไปถึงการยึดศาลด้วย
ส่วนตัวเห็นด้วยว่า เราไม่ควรเชิดชูนักธุรกิจที่เติบโตมาจากการเอากำไรจากการเสียประโยชน์ของส่วนรวม หรือเรียกว่าเติบโตมาจาก “ค่าเช่าทางเศรษฐกิจที่เลว” ถ้าเกิดว่าเรามีผู้เล่นที่หลากหลายหรือ 5-6 รายขึ้นไป ประเทศไทยจะดีกว่านี้แน่นอน ดังนั้น กฎหมายจะต้องดูแลเรื่องเหล่านี้ให้เกิดขึ้น” นางสาวสฤณีกล่าว
น.ส.สฤณี กล่าวว่า ในแง่เศรษฐกิจ ธุรกิจในเมืองไทยหากได้กำไรที่มั่นคงจากการเอื้ออำนวยของรัฐ ก็ไม่มีแรงบันดาลใจไปแข่งขันต่างประเทศ ทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมต่ำลง ไม่เกิดการแข่งขันในประเทศที่เกิดการผูกขาดที่เอื้อประโยชน์จากรัฐในปัจจุบัน การเสียโอกาสของประเทศจากเรื่องนี้ ควรมีการศึกษาเพื่อเผยแพร่อย่างกว้างขวาง วิธีการตรวจสอบทฤษฎีการยึดรัฐ คือ การตัดสินขององค์กรของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่ หรือตัดสินบนผลประโยชน์ของกลุ่มทุน เช่น กรณีการตัดสินของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กสทช. ฯลฯ
“การยึดกุมรัฐ ส่งผลเสียหายต่อสังคมร้ายแรงกว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งประชาชนจะไม่สามารถที่จะร้องเรียนใครได้” น.ส.สฤณีกล่าว
น.ส.สฤณี ยังมีข้อเสนอเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการผูกขาด และการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมของรัฐ ดังนี้ 1.ต้องทำให้เห็นว่าต้นทุนหรือความเสียหายจากการผูกขาดชัดเจนมากขึ้นในสังคม เช่น เรื่องอาหาร โทรคมนาคม ค่าครองชีพที่แพงขึ้นอย่างมาก โยงกลับมาสู่ปัญหาและผลกระทบจากการผูกขาด 2.ภาคการเมืองควรทำงานเรื่องนี้มากขึ้น ควรมีนโยบายหรือมาตรการ โดยเฉพาะการเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาล
และ 3.กลไกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์จะต้องมีการแก้ไขและตรวจสอบ รวมถึงศาลด้วย เพื่อขับเคลื่อนไม่ให้กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนจนขาดนิติธรรมในทางปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ผิดหลักกฎหมายที่ควรเป็น
ขณะที่ นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT กล่าวว่า ในแต่ละยุคสมัย การคอร์รัปชั่นมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง จากการเรียกค่าน้ำร้อนน้ำชา มาถึงการร่วมมือกันระหว่างรัฐและกลุ่มทุน และเกิดการแทรกแซงระบบราชการชัดเจนขึ้น เช่น กรณีทุจริตยา กรณีทุจริตผักสวนครัวรั้วกินได้ มาจนถึงการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย และการอุปถัมภ์ทางการเมืองเกิดขึ้นในยุคนี้ โดยข้าราชการต้องถูกบังคับเข้าสังกัดทางการเมือง นักธุรกิจกับการเมืองเป็นเนื้อเดียวกัน และมีตัวแทนกลุ่มทุนเข้ามาเล่นการเมือง
“วันนี้เกิดการเข้าแทรกแซงควบคุมกับทุกอำนาจของรัฐ โดยเฉพาะองค์กรอิสระต่างๆ และมีการบิดเบือนการผลักดันนโยบายสาธารณะ ประเทศไทยมาถึงยุค Money Politics ที่มีการคอร์รัปชั่นทุกระดับจนถึงการคอร์รัปชั่นทางนิติบัญญัติ มีการโกงแบบซึ่งๆ หน้า หรือการโกงแบบโปร่งใส โดยพัฒนาการนายทุนมักจะเกาะอำนาจ เกาะกระบอกปืน สลับกันไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง จึงขอให้ร่วมกันตรวจสอบนโยบายรัฐบาล วันนี้บอกว่าจะซื้อรถไฟฟ้าทุกสายมาเป็นของรัฐ ซึ่งอาจแพงกว่าจริงหลายเท่า โดยใช้เงินภาษีของประชาชนมาจ่าย” นายมานะ กล่าว
นายมานะ กล่าวว่า เรามักมองธุรกิจที่เชื่อมโยงทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจที่น่าจะผูกขาด เช่น ธนาคาร อยู่ในเกณฑ์การแข่งขันหรือไม่ และถึงขั้นการผูกขาดหรือเปล่า รวมถึงบริษัทบางกลุ่มที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทำตามกฎหมายทุกอย่าง แต่มีแนวโน้มผูกขาดตลาด จะต้องถูกตรวจสอบมากขึ้น การคอร์รัปชั่นของผู้มีอำนาจ การเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุน ไม่ใช่เฉพาะจากข้าราชการระดับใหญ่เท่านั้น แต่ต้องดูไปถึงการกำหนดนโยบาย
“การพูดหรืออธิบายแทนนายทุน เพราะทุนใหญ่เหล่านั้นครอบงำตลาดมานาน และเลี้ยงดูปูเสื่อข้าราชการมานาน ผ่านมาหลายสิบปี คนกลุ่มนี้เป็นข้าราชการใหญ่ที่สามารถกำหนดนโยบายขององค์กรตอบสนองต่อกลุ่มทุนต่างๆ ได้ เช่น ทุนพลังงาน ขอตั้งคำถามว่า คนที่คุมเสียงทางการเมืองส่วนใหญ่ในเวลานี้ จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร จะเอาไปพูดในสภาไหม แต่ตนหวังภาคประชาชนกับภาคธุรกิจจะร่วมมือกันแบบในประเทศเกาหลี และในอินโดนีเซีย ที่บทบาทของชนชั้นกลางมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยควรรณรงค์กับชนชั้นกลางให้เห็นปัญหาร่วมกัน” นายมานะกล่าว
นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (SVN) กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กบค.) แทบไม่เกิดขึ้นเลยในอดีต จึงเท่ากับไม่มีผลงานในปัจจุบัน การตัดสินการควบรวมต่างๆ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน ทั้งๆที่เจตนารมณ์ในการเขียนกฎหมายนี้ เพื่อป้องกันการผูกขาดตลาดและการควบรวมกันของกลุ่มทุนซึ่งทำให้ประชาชนเสียประโยชน์
“ปัจจุบันประชาชนไทยมีชะตากรรมอยู่ภายใต้กลุ่มทุนที่ผูกขาดเศรษฐกิจมากกว่า 80% ในชีวิตประจำวัน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในปัจจุบันถือเป็น Bad GDP ที่ควรต้องทำลายลง และต้องสร้าง Good GDP ของประเทศที่มีคุณภาพ หมายถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ตอบโจทย์กับรายได้ที่ดีของประเทศ” นายปรีดา ระบุ
ส่วน นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า ในขณะที่ภาคประชาชนตั้งคำถามว่า การเมืองและกฎหมายจะเข้าไปกำกับกลุ่มทุนได้อย่างไร และรัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองกำลังดำเนินการออกกฎหมายและนโยบายเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนหรือไม่ อย่างไร ในขณะที่กลุ่มทุนธุรกิจการเมืองเองก็กำลังวางแผนกันว่า การเมืองและกฎหมายจะเอื้อประโยชน์แก่พวกเขาได้อย่างไร
“เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ จะรณรงค์และผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และขอเรียกร้องรัฐบาลและพรรคการเมือง ได้ดำเนินการเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ อภิปรายในรัฐสภา จัดเวทีการศึกษามากขึ้นเพื่อให้ความรู้กับสังคม เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจประเทศไทยล้มเหลวจากการผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่ จนต่อไปอาจเหลือเพียงแค่คนสองชนชั้นเท่านั้นในประเทศไทย” นายเมธา กล่าว