'นายกฯแพทองธาร' แจงคนเสื้อแดง กรณีดึง 'ประชาธิปัตย์' ร่วมรัฐบาล จำต้องทำเพื่อเสถียรภาพ ชี้ผู้บริหารคนละชุดกับที่มีประเด็นกัน พร้อมเมิน 'พปชร.-เสรีพิศุทธิ์' เตรียมยื่นร้องเรียนหลายประเด็น ก่อนกล่าวไม่ใช่ 'ทักษิณ' ครอบงำ แต่คือตนเองที่ครอบงำ 'ทักษิณ'
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 30 สิงหาคม 2567 ที่จ.สุโขทัย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมติที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ว่า รัฐบาลที่ดี และรัฐบาลที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ฉะนั้นเสถียรภาพสำคัญ และการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้เชิญพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วมรัฐบาล การจะแก้ไขกฎหมายต่างๆ จะต้องมีเสียงมากพอ เพราะถ้าไม่มากพอหรือเกินกึ่งหนึ่งไม่มาก จะทำให้การผลักดันแก้ไขกฎหมายสะดุดได้ และวันนี้ฝ่ายบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เหมือนที่ผ่านมา
"การร่วมรัฐบาลกันไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยยอมรับการกระทำของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว เราต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เพราะฉะนั้นนี่คือปัจจัยหลัก รัฐบาลมีเสถียรภาพคือการดึงเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้มีเสียงที่มากพอเพื่อผลักดันกฎหมายในอนาคตนี่คือสิ่งสำคัญ" นายกรัฐมนตรีกล่าว
เมื่อถามว่า มีอะไรฝากถึงคนเสื้อแดงหรือไม่ ทำให้นางสาวแพทองธาร รีบเอามือชี้ที่อกตัวเองทันทีว่า นี่คือเสื้อแดง
@แจงคนเสื้อแดง ผู้บริหารปชป.เปลี่ยนไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าคนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคเพื่อไทยไปร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายว่า จะต้องแก้ปัญหาให้ประชาชนให้ได้ นโยบายรัฐบาลต้องทำให้สำเร็จ และพรรคเราเป็นพรรคที่ทำนโยบายสำเร็จมาเยอะ ในกระบวนการของการเมืองก็คือเรื่องหนึ่งที่จะต้องทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพให้ได้ ผ่านมาแล้ว 10 ปี 20 ปี ผู้บริหารก็เปลี่ยนไป แม้จะชื่อประชาธิปัตย์เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างในนั้นก็เปลี่ยนไปมาก วันนี้เราต้องเดินหน้าต่อ ถ้าเราจะยังคิดแต่เรื่องการเมืองก็เป็นการถ่วงรั้งประเทศเอาไว้ รวมถึงการฟ้องร้องต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ได้จำเป็นสำหรับการบริหารประเทศ
เมื่อถามต่อว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่าตัวเองคือเสื้อแดงเหมือนกันอยากจะบอกอะไรกับคนเสื้อแดงที่ยัง เห็นต่างกับการร่วมรัฐบาล นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า พูดในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่เคยสัญญาเอาไว้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น
“เพราะฉะนั้นที่มาอยู่ตรงนี้ ต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชนทุกคน เข้าใจความรู้สึกของคนเสื้อแดงดี คนเสื้อแดงจะพูดไม่ได้เลยว่าอิ๊งไม่เข้าใจ อิ๊งเข้าใจ แต่วันนี้เราพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปข้างหน้า พร้อมหรือยังที่จะเห็นประเทศชาติดีขึ้น เตรียมประเทศให้กับลูกหลาน วันนี้เราต้องเป็นผู้ใหญ่ที่เราต้องพร้อม” นายแพทองธารระบุ
เมื่อถามว่า เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและความพร้อมของพรรคประชาธิปัตย์ ใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่าสมมุติว่าประเทศหนึ่งปกครองแบบเผด็จการหรือเป็นอะไรมา เราไม่ซื้อขายกับเขา แต่วันหนึ่งเขาเปลี่ยนเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้วเราจะมีการซื้อขายกับเขาต่อมันคือการทำให้มองไปข้างหน้านี่คืออนาคตต่อไปเราทำการค้าขายกับประเทศนั้นได้แล้วมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นภาพที่เราจะโฟกัสจุดนั้น อยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกันช่วยกันให้กำลังใจและช่วยกันผลักดัน ประเทศไปพร้อมพร้อมกัน เพราะไม่มีใครทำคนเดียวได้ สื่อมวลชนก็ต้องช่วยด้วย อย่าไปให้ความสำคัญกับอะไรที่ไม่สำคัญ อย่าไปให้ความสำคัญกับการไปฟ้องร้องอะไรที่ไม่สำคัญ หรือประเด็นอะไรที่ไม่สำคัญขอให้ช่วยกัน เพราะตรงนี้มันหนักและไม่ได้ง่าย ก็อยากจะขอความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย
@เมิน พปชร.-เสรีพิศุทธิ์ เตรียมยื่นร้อง
เมื่อถามต่อว่า ประเด็นเรื่องของการฟ้องร้อง พรรคพลังประชารัฐก็เตรียมที่จะเดินหน้าร้องต่อองค์กรอิสระโดยผู้เป้าหมายที่นายกรัฐมนตรี นั้น นางสาวแพทองธารกล่าวว่า เราคงไปห้ามการกระทำของเขาไม่ได้ แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐก็ให้เป็นปัญหาของเขา ตนเองไม่มีส่วนเข้าไปตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็ให้พรรคพลังประชารัฐแก้ปัญหากันเอง
เมื่อถามต่อว่า เหตุผลหลักๆที่ไม่เอาพรรคพลังประชารัฐร่วมรัฐบาล เป็นเพราะพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
เมื่อถามอีกว่าได้คุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในฐานะบิดาบ้างหรือไม่กรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาระบุว่าได้ไปเยี่ยมนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจถึงสองครั้ง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า อยากให้โฟกัสที่เรื่องสำคัญ
เมื่อถามต่อว่าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์น้อยใจที่ไม่ได้ตำแหน่งเลยออกมาแฉว่านายทักษิณครอบงำพรรคร่วมรัฐบาล โดยเรียกพรรคร่วมรัฐบาลไปประชุมที่บ้านจันทร์สองหล้า นางสาวแพทองธาร กล่าวติดตลกว่า “อาจจะเป็นตนมากกว่าที่ครอบงำนายทักษิณ ข้อเท็จจริง คือนายทักษิณไม่ได้ครอบงำ การปรึกษากันคือเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากจะหาเรื่องกันเช่นนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงไม่มีการครอบงำอะไร ทุกคนมีตัวตน มีความคิดเป็นของตัวเอง มีคำปรึกษาจากทุกคนที่สามารถช่วยกัน ทำงานให้ประเทศต่อ ก็แค่นั้นเอง“
ที่มาภาพ: VOICE TV