'วีระ' ยื่นศาลอาญาคดีทุจริตฯ ฟ้องเอาผิด 'นิวัติไชย-วรวิทย์' พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.รวม 12 คน เหตุไม่ยอมเปิดสำนวนนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม ยก 4 เหตุผล ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพราะไม่ทำตามคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร-คำสั่งศาลปกครองสูงสุด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้เปิดเผยเอกสารคำฟ้องกรณีที่นายวีระเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ให้ดำเนินการกับนายนิวัติไชย เกษมมงคลเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำเลยที่ 1,นายวรวิทย์ สุขบุญ อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. จำเลยที่ 2 กับจำเลยรายอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 12 คน เนื่องจากทั้ง 12 คนมีส่วนในการปกปิดเอกสารการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ครั้งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สรุปท้ายเอกสารคำฟ้องได้ว่านับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษา จนถึงปัจจุบันจําเลยทั้งสิบสองปฏิบัติ ไม่ถูกต้องครบถ้วนภายในกําหนดตามคําพิพากษาดังกล่าว โจทก์เห็นว่าจําเลยทั้งสิบสองในฐานะเจ้า พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ต้องผูกพันตามคําพิพากษาของศาล การเพิกเฉย จงใจฝ่าฝืน คําพิพากษาของศาล จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยจําเลย บังอาจส่งมอบเอกสารให้โจทก์ เป็นเอกสารมีการคาดแถบดําปกปิดข้อความอันเป็นสาระสําคัญใน เอกสารจํานวนหลายหน้า และส่งมอบเอกสารที่ไม่มีข้อความอีกเป็นจํานวนหลายหน้าทําให้ขาด สาระสําคัญของเอกสารไป อีกทั้งจําเลยทั้งสิบสอง ไม่ส่งมอบเอกสารรายการที่ 2 คือ ความเห็นของ พนักงานเจ้าหน้าที่ป.ป.ช. ทุกคน ที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว ให้แก่โจทก์ ทําให้โจทก์ไม่สามารถเข้าใจข้อความอันเป็นสาระสําคัญในเอกสาร ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทําของจําเลยทั้งสิบสองจึงมีความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม ดังนี้
1.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยเพิกเฉยไม่ส่งมอบข้อมูลข่าวสารตามที่ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย ได้มีคําวินิจฉัยที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ที่ให้สํานักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยจําเลยที่ 1 เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการคือ 1.รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด 2.ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ทุกคน ที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว และ 3.รายงานการประชุม ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผู้ร่วมกระทําผิดประกอบด้วย จําเลยที่ 2,3,4,5,6,7,8,9,10
2.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยฝ่าฝืนคําพิพากษาของปกครองสูงสุด ในวันที่ 1 เมษายน 2566 ให้จําเลยทั้งสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคําวินิจฉันของ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการใช้ บังคับทางกฎหมาย ที่ สค 333/2562 แก่โจทก์ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคํา | พิพากษา ผู้ร่วมกระทําผิดประกอบด้วย จําเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12
3. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคําบังคับของศาลปกครอง กลางที่มีคําสั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ปฏิบัติตามคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.224/ 2566 เปิดเผยข้อมูลคดียืมนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ให้แก่นายวีระ สมความคิด ผู้ฟ้อง คดี จํานวน 3 รายการ ได้แก่ 1.รายการการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสาร ทั้งหมดในคดียืมนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ 3. 3.รายงานการประชุมของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ถูกต้องครบถ้วนภายในวันที่ 11 สิงหาคม 2556 ผู้ร่วม กระทําผิดประกอบด้วย จําเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12
4.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เมื่อจําเลยทั้งสิบสองฝ่าฝืนการปฏิบัติตามคําบังคับ ของศาลปกครองกลาง จนกระทั่งศาลปกครองกลางต้องมีคําสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคําบังคับของ ศาลปกครองโดยมีคําสั่งลงโทษทางอาญาโดยการสั่งปรับจําเลยทั้งสอง รายละ 5,000 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคําสั่ง ผู้ร่วมกระทําผิดประกอบด้วย จําเลยที่ 1,3,7,8,9,11,12
เหตุเกิดระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ต่อเนื่องถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 เวลา กลางวัน เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีคําวินิจฉัยที่ สค. 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ที่ให้ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยจําเลยที่ 2 เปิดเผยข้อมูล ข่าวสารทั้ง 3 รายการคือ 1.รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด 2. ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทุกคน ที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว และ 3. รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ต่อเนื่องจนกระทั่งสํานักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยจําเลยที่ 1 ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ปช 0029/2519 ระบุให้โจทก์ไปรับข้อมูลข่าวสารตามคําสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ปกครองกลาง แต่จําเลยที่ 1 กับพวก ยังคงส่งมอบเอกสารไม่ครบถ้วนตามคําพิพากษาของศาล ปกครองสูงสุด และมีการคาดดํา และปกปิดข้อความหลายส่วนเช่นเดิม
นายวีระยังได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเพิ่มเติมด้วยโดยระบุว่าศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค1 (จ.สระบุรี) ได้นัดให้ไปฟังคำสั่งในวันที่ 2 ก.ย.2567 เวลา 13.30 น.
สำหรับจำเลยทั้ง 12 คนประกอบไปด้วย
1. นายนิวัติไชย เกษมมงคล 2. นายนายวรวิทย์ สุขบุญ 3. พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ 4. นายปรีชา เลิศกมลมาศ
5. พลตำรวจเอกสถาพร หลาวทอง 6.นายณรงค์ รัฐอมฤต 7.นางสาวสุภา ปียะจิตติ 8. นายวิทยา อาคมพิทักษ์ 9. นางสุวณา สุวรรณจูฑะ 1๐ พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ 11.นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา และ 12 นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข