ศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต 'บรรยิน' คดีฆาตกรรมพี่ชายผู้พิพากษา จำคุกตลอดชีวิต 4 จำเลย ยกเหตุประหาร เพราะเคยเป็นถึงอดีตตำรวจ-สส. ย่อมทราบกฎหมายดี ดังนั้นการใช้วิธีบังคับผู้พิพากษาจึงถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ เป็นภัยต่อสังคม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 12 ก.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้ออกเอกสารข่าวแจกสื่อมวลชน มีใจความว่า วันนี้ (12 ก.ค.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย ในคดีฆาตกรรมพี่ชายผู้พิพากษา ซึ่งการฆาตกรรมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อหาหน่วงเหนี่ยว กักขัง และเรียกคำไถ่เพื่อข่มขืนใจผู้พิพากษาให้ ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ส่วนจำเลยอื่นๆได้แก่จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาให้จำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 3-6 พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต
สรุปคำพิพากษาศาลฎีการะบุว่าคดีอาญาหมายเลขดําที่ อท 69/2563 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อท 190/2563 ระหว่าง พนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 โจทก์ พันตํารวจโทบรรยิน ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน จําเลย กรณีใช้กําลังประทุษร้ายเอาตัว นาย ว. -ผู้ตาย พี่ชายของ นางสาว พ. ผู้เสียหาย ไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง และใช้ความปลอดภัยในชีวิตของนาย ว. เป็นข้อต่อรองเรียก ค่าไถ่เพื่อข่มขืนใจผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่
ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพผ่านสัญญาณโทรคมนาคมระหว่างศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางกับเรือนจํากลางบางขวาง และเรือนจํากลางคลองเปรม โดยมีสักขีพยานอยู่ที่เรือนจํากลางบางขวาง และเรือนจํา กลางคลองเปรม
นัดฟังคําพิพากษาศาลฎีกาวันนี้ โจทก์ โจทก์ร่วม ทนายจําเลยที่ 4 ที่ 5 และทนาย จําเลยที่ 5 มาศาล จําเลยที่ 1 ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจํากลางบางขวาง และจําเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจํากลางคลองเปรม ส่วนทนายจําเลยที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จําเลยที่ 1 รับในฎีกาว่าไม่พอใจโจทก์ร่วมอย่างรุนแรง โดยมีความเชื่อว่าโจทก์ร่วมไม่เป็นกลาง จึงทึกทักคือเหมาเอาเป็นจริงเป็นจังว่าถูกโจทก์ร่วมกลั่นแกล้ง จําเลยที่ 1 ตัดสินใจจะกระทําการแก้แค้นโจทก์ร่วม แต่เปลี่ยนใจไปลักพาตัวผู้ตายไปแทนแล้ววางแผน ให้จําเลยที่ 2 และที่ 3 สะกดรอยติดตามโจทก์ร่วมกับผู้ตายจนทราบที่พัก ประสงค์จะลักพาตัวผู้ตายไป เพื่อต่อรองให้โจทก์ร่วมพิพากษาคดีดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่จําเลยที่ 1 เช่นนี้การที่จําเลยที่ 1 คิดวางแผน และไตร่ตรองเพื่อลักพาตัวผู้ตายไป แล้วจึงลงมือกระทําความผิดตามแผน โดยมิใช่กระทําไปโดยปัจจุบันทันด่วน บ่งชี้ว่าจําเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4)
ส่วนจําเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ก่อนเกิดเหตุจําเลยที่ 1 บอกจําเลยที่ 6 ให้ส่งจําเลยที่ 4 และที่ 5 ลูกน้องของจําเลย ที่ 6 ไปช่วยงานทวงหนี้ หลังเกิดเหตุจําเลยที่ 6 มอบเงินค่าตอบแทน การทํางานที่จําเลยที่ 4 และที่ 5 คนละ 50,000 บาท และนําเสื้อผ้าที่จําเลยที่ 4 และที่ 5 สวมใส่ ในวันเกิดเหตุไปเผาทําลายหลักฐาน พฤติการณ์เหล่านี้ของจําเลยทั้งหกย่อมเป็นอันรับรู้กันในคณะบุคคลเยี่ยงจําเลยทั้งหกเป็นอย่างดีว่าการไปทวงหนี้มีความหมายถึงการกระทําอันมิชอบด้วยกฎหมายแก่ บุคคลอื่น ตั้งแต่การบังคับข่มขู่ อุ้มหายไปจนถึงการฆ่าเผานั่งยางเพื่อทําลายพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 (13)
บัญญัติว่า “ค่าไถ่” หมายความว่าทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่เรียกเอาหรือเพื่อให้แลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง
ฉะนั้นค่าไถ่จึงมิได้หมายความแต่เพียงว่าต้องเป็นทรัพย์สินหรือเป็นเงินที่เรียกเอาเพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป แต่หมายความรวมถึงประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือเงินซึ่งผู้กระทํา ต้องการเรียกเอา เมื่อจําเลยที่ 1 ลักพาตัวผู้ตายไปเจรจาต่อรองเพื่อให้โจทก์ร่วมพิพากษายกฟ้องและให้ คืนเงินกับหุ้นของจ๋าเลยที่ 1 ผลของคําพิพากษาที่ยกฟ้องและให้คืนเงินกับหุ้นของจําเลยที่ 1 ที่ถูกอายัด ไว้จึงถือว่าเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่จําเลยที่ 1 เรียกเอาจากโจทก์ร่วมเพื่อแลกตัวผู้ตาย และ เป็นประโยชน์ซึ่งมีอยู่ในขณะกระทําการเรียกเอา โดยจําเลยที่ 1 ไม่จําต้องได้ไปซึ่งประโยชน์หรือแม้แต่ โจทก์ร่วมจะไม่สามารถหรือไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ประโยชน์นี้ได้ก็อยู่ในความหมายของคําว่า “ค่าไถ่” ตามกฎหมายดังว่าแล้ว
เมื่อจําเลยที่ 4 ถึงที่ 6 รับรู้ความประสงค์ของจําเลยที่ 1 และที่ 6 มอบหมายให้ จําเลยที่ 4 และที่ 5 ไปช่วยกันลักพาผู้ตายโดยใช้รถยนต์คันก่อเหตุ จําเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า แม้จะสวมกุญแจมือผู้ตายไขว้หลัง ใช้เทปกาวปิดปาก ใช้ถุงดําคลุมศีรษะแล้ว ผู้ตายต้องดิ้นรนต่อสู้ ขัดขืน เมื่อจําเลยที่ 3 ทําร้ายผู้ตายชกบริเวณท้อง ลิ้นปี่และชายโครงผู้ตายหลายครั้ง หรือแม้เพียงครั้ง เดียวจนผู้ตายนิ่งไปซึ่งแสดงว่าจําเลยที่ 3 ชกผู้ตายบริเวณท้องซึ่งเป็นอวัยวะสําคัญโดยแรง ขณะผู้ตาย ถูกจําเลยที่ 5 ใช้เทปกาวปิดปากและนําถุงผ้าคลุมศีรษะตกอยู่ในสภาพที่หายใจไม่สะดวก ดังนี้ พฤติการณ์เยี่ยงจําเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ย่อมคาดหมายได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวและอาจทําให้ ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้อุปกรณ์จําเลยที่ 1 เตรียมไปในการลักพาตัว เช่น กุญแจมือ ถุงผ้า เพื่อคลุมศีรษะส่อแสดงว่าจําเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 รู้อยู่แล้วว่าผู้ตายจะต้องขัดขืนไม่ให้การนําตัวไป โดยง่าย เมื่อผู้ตายขัดขืนใช้กําลังบังคับหรือประทุษร้ายผู้ตายเพื่อให้ผู้ตายยินยอมให้จําเลยที่ 1 เอาตัว ผู้ตายไป และแม้ชกเพียงครั้งเดียว อาจทําให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้
เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจําเลยที่ 1 และที่ 3 ก็นําผู้ตายไปเผาในสถานที่ที่เตรียมไว้สม ดังเจตนาของจําเลยที่ 1 การตายของผู้ตายจึงเกิดจากการถูกจําเลยที่ 3 ชกที่ท้องอย่างรุนแรงมีผลถึงตายอันเป็นผลธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการทําร้ายด้วยเจตนาฆ่าและเป็นผลโดยตรงการกระทําของ จําเลยที่ 1 และที่ 3 จําเลยที่ 1 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) และจําเลยที่ 1 กับ 3 ถึงที่ 5 จําเลยมีความผิดฐาน ร่วมกันกระทําผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ดูเอาตัวไป ผู้ถูก หน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคสอง และ 313 (3) วรรคท้าย
เมื่อความตายของผู้ตายเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการทําร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 63 ทําให้จําเลยที่ 1 กับจําเลยที่ 3 ถึงจําเลยที่ 5 ต้องรับโทษ หนักขึ้น จําเลยที่ 6 ย่อมมีความผิดและต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ 87 วรรคท้าย ด้วยดุจกัน ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาและวางโทษจําเลยที่ 1 และที่ 4 ถึงที่ 6 มา นั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนฎีกาของจําเลยที่ 1 และที่ 4 ถึงที่ 6 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ข้อต่อไปว่ามีเหตุ ตามกฎหมายให้ลดโทษแก่จําเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 หรือไม่ คดีนี้จําเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพ ตั้งแต่ชั้นจับกุมและสอบสวน โดยจําเลยที่ 3 นําพนักงานตํารวจและพนักงานสอบสวนไปชี้สถานที่ เกิดเหตุทั้งหมดเป็นผลให้พนักงานสอบสวนแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ทุกขั้นตอน
ซึ่งศาลล่างทั้งสองก็นําคําให้การรับสารภาพของจําเลยที่ 3 และรับข้อเท็จจริงของจําเลยที่ 4 และที่ 5 มาประกอบดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานในการรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเป็น ระยะตลอดทั้งเรื่อง คําให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจําเลยที่ 3 ถึงที่ 5 จึงเป็นการลุแก่โทษต่อ เจ้าพนักงานและให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรลดโทษให้จําเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ไปตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชอบแล้ว และถือเป็นเหตุลักษณะคดี จึงให้มีผลไปถึงจําเลยที่ 2 ซึ่งแม้ให้การ ปฏิเสธแต่ยอมรับข้อเท็จจริงในส่วนที่อยู่ในความรู้เห็นของตนทั้งสิ้นและมิได้ฎีกา ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ส่วนจําเลยที่ 1 ให้การรับข้อเท็จจริง ภายหลังทราบว่าจําเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน และหลังจากได้ตรวจดู และรับรู้พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมแล้ว เป็นการรับข้อเท็จจริงเพราะจํานนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
ประกอบกับ พฤติการณ์ของจําเลยที่ 1 เคยรับราชการตํารวจในตําแหน่งพันตํารวจโท เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับมีทนายความแก้ต่างให้ ย่อมทราบถึงขั้นตอนและ กฎหมายวิธีพิจารณาความว่าสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกาคําพิพากษาต่อไปได้ การที่จําเลย ที่ 1 ใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายบังคับผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีเพื่อให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และร่วมกับพวกกระทําผิดในที่สาธารณะโดยไม่ยําเกรงต่อกฎหมาย จึงถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เป็นภัยต่อสังคมโดยรวมและส่งผลกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงจึงสมควรลงโทษสถานหนักและไม่ลดโทษให้แก่จําเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษประหาร ชีวิตจําเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจําเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจําเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ข้อ ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จําเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และบังคับโทษตามคําพิพากษา ศาลชั้นต้น จากที่แก้คงเป็นตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ศาลออกหมายจําคุกคดีถึงที่สุด จําเลยที่ 2 จําคุก 33 ปี 4 เดือน จําเลยที่ 3 ถึงที่ 6 จําคุกตลอดชีวิต ส่วนจําเลยที่ 1 ให้ประหารชีวิต)
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับคดีที่ พ.ต.ท.บรรยินต้องเผชิญมีด้วยกัน 3 คดี ณ เวลานี้ได้แก่ 1.คดีฟอกเงินจากการโอนหุ้นของนายโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั้ง ซึ่งศาลมีคำตัดสินไปเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2567ให้จำคุก 20 ปี
และ 2.คดีฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ ที่ศาลฎีกามีคำตัดสินไปเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2567 ให้ประหารชีวิต
อ่านประกอบ: