ศาลปกครองยกคำร้อง 'วีระ' ขอออกหมายจับ ป.ป.ช.ไม่ยอมเผยข้อมูลสำนวนนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม ยกเหตุไม่เข้าเงื่อนไขกฎหมาย -ยกคำร้อง 'วีระ' ขอให้เอาแถบคาดดำออก เหตุเจ้าตัวดำเนินการช้ากว่า 15 วันหลังนับแต่ทราบข้อความ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความคืบหน้ากรณีนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดในสำนวนคดีการครองครองนาฬิกาหรู ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานศาลปกครองกลางได้ออกเอกสารระบุว่าศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ให้ยกคำร้องของนายวีระ ผู้ฟ้องคดี ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งบังบังคับคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีได้แก่สำนักงาน ป.ป.ช. ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กับพวกรวม 2 คน
สำหรับรายละเอียดคำสั่งศาลปกครองโดยสรุปนั้นระบุว่าในส่วนของคำร้องที่ 1 ของนายวีระที่ระบุว่า คำร้องของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดี (ให้ออกหมายจับถูกฟ้องคดีทั้งสองมากักขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลปกครอง)
ศาลวินิจฉัยว่าการบังคับคดีปกครองในเรื่องนี้มีกฎหมายและระเบียบที่ได้บัญญัติและกำหนดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หมวด 5 การบังคับคดีในกรณีที่ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ และหมวด 7 การบังคับคดีในกรณีที่ขอให้ศาลสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษา มาใช้บังคับกับการบังคับคดีปกครองในคดีนี้ได้
การที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ออกหมายจับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมากักขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาล จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลปกครองมีอำนาจออกคำสั่งตามคำร้องของผู้ฟ้องคดีได้ ให้ยกคำร้องของผู้ฟ้องคดี
ส่วนคำร้องที่ 2 ที่นายวีระระบุว่า ขอให้ศาลแก้ไขคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง โดยอ้างว่าเมื่อคำพิพากษาปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยให้ผู้ถูกฟ้องคดีเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เปิดเผยตามคำวินิจฉัย ที่ สค 333/2562 โดยในคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่มีข้อยกเว้นให้ผู้ถูกฟ้องคดีสามารถคาดดำปกปิดข้อมูลบางส่วนได้ ดังนั้น คำสั่งของศาลปกครองในการตีความคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดจึงมิอาจมีเงื่อนไขให้ผู้ถูกฟ้องคดีปกปิดคาดดำข้อมูลบางส่วนได้ เพราะจะมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลแก้ไขคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ด้วย
ศาลปกครองวินิจฉัยในคำร้องนี้ว่าผู้ฟ้องคดีทราบคำสั่งในวันที่ 8 พฤษภาคม2567 ซึ่งถือเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีทราบข้อความดังกล่าว การที่ผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องขอให้ศาลแก้ไขคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองเมื่อวันที่มิถุนายน 2567 จึงเป็นการยื่นช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นแล้ว จึงให้ยกคำร้องของผู้ฟ้องคดี
ในการนี้ศาลปกครองยังได้วินิจฉัยยกคำร้องขอของฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีด้วย ที่ร้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองขอถอนค่าปรับตามคำสั่งศาล และคำร้องของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่ขอวางเงินเพื่อเป็นหลักประกัน
ศาลปกครองวินิจฉัยว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยืนอุทธรณ์คำสังเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ไม่มีผลเป็นการทุเลาการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองในชั้นบังคับคดีแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง โดยมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองกลาง ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม 2567 ที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชำระค่าปรับต่อศาลและส่งมอบเอกสารแก่ผู้ฟ้องคดีจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด
กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะคืนเงินการชำระค่าปรับตามคำร้องขอถอนค่าปรับตามคำสั่งศาลของผ้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ส่วนคำร้องขอวางเงินเป็นหลักประกันต่อศาล นั้น เห็นว่าไม่มีกฎหมายหรือระเบียบฉบับใดให้อำนาจศาลรับเงินเป็นหลักประกันระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดได้ ให้ยกคำร้องทั้งสองฉบับของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง