เลขาฯ ป.ป.ช.แจงความเข้าใจไม่ตรงกัน ต้นเหตุ 'วีระ' โวย ป.ป.ช.เปิดเผยสำนวนคดีนาฬิกา 3 รายการไม่ครบ ยืนยัน ศาลปกครองสูงสุดอนุญาตให้คาดแถบดำปกปิดชื่อได้ แต่ 'วีระ' ยังเข้าใจว่าปกปิดข้อมูล ป.ป.ช.จึงขอให้ ศาล ปค.ไต่สวน-ลั่นไม่เคยคิดโกหกคำปฏิญาณต่อหน้าศาล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการป.ป.ช. ได้แถลงข่าวถึงกรณีนายวีระ สมความคิดเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.)ไปร้องต่อศาลปกครองสูงสุดว่า ป.ป.ช.ได้มีการดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดครบถ้วนหรือยัง ในกรณีการเปิดเผยสำนวนเอกสารรายการคดีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จำนวน 3 รายการ โดยศาลได้ไต่สวนคู่ความทั้งสองฝ่ายคือ ป.ป.ช.กับนายวีระไปเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา
เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้มีการตีความกันว่าจะมีการเปิดเผยสำนวนคดีนาฬิกาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งมีความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างนายวีระ กับทาง ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.มองว่าหลังจากที่ได้มีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด สั่งให้ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูล ป.ป.ช.ก็ได้เชิญนายวีระมาแล้ว และก็ได้มอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไป ต้องยอมรับว่า ป.ป.ช.ได้ปกปิดที่เป็นกระดาษขาว แต่การที่ ป.ป.ช.ปกปิดในส่วนที่เป็นกระดาษขาวเพราะมันไปซ้ำกับรายงานที่ได้มอบให้นายวีระไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องคัดถ่ายให้ดูอีก ถ่ายให้เฉพาะความเห็นของเจ้าหน้าที่ หัวหน้า ผอ.สำนัก และเลขาธิการ ป.ป.ช. ให้นายวีระไป เพราะมันเป็นข้อความเดียวกันเลย
นายนิวัติไชยกล่าวว่าแต่นายวีระก็น่าจะสงสัยว่ากระดาษขาวที่มีการปกปิดก็น่าจะมีการปิดบังข้อเท็จจริง เราก็มาพิจารณาว่ากรณีที่ศาลปกครองสูงสุดได้สั่งให้เปิดเผยข้อมูลตามคำวินิจฉัยคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารว่าให้เปิดอะไรบ้าง ซึ่งในวันนั้นเรานำเอกสารการรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งมันมีรายละเอียดว่า ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบรายละเอียด เอกสารหลักฐานจากใคร สอบปากคำบุคคลอะไร เราก็เข้าใจว่ามันเพียงพอที่จะปรากฎให้บุคคลที่จะขอข้อมูลได้ทราบแล้ว แต่ถ้าบอกว่าไม่ได้มันก็จะมีเอกสารอื่นๆประกอบอีกเยอะแยะ นี่ก็คือความไม่เข้าใจ ทำให้นายวีระไปร้องให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทางศาลปกครองกลางก็ได้มีการสั่งข้อบังคับคือให้เปิดเผยเอกสารทั้งหมด
เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวต่อว่าแต่คำว่าทั้งหมดเราก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร แต่เราก็ให้เอกสารประกอบรายงานที่เสนอกับ ป.ป.ช.ไปทั้งหมด เพียงแต่ว่ามันมีบางใบที่ดูเหมือนเราให้กระดาษเปล่า จริงๆมันไม่ใช่กระดาษเปล่า แต่เราถ่ายจากสำเนา ภาพมันเลยไม่ครบ คมชัด มันเป็นเงาลางๆ อีกกรณีที่เรามีการปกปิดคาดแถบดำ ก็เป็นการคาดแถบดำชื่อนามสกุลตำแหน่งของพยาน เจ้าหน้าที่ บุคคล บริษัทที่เกี่ยวข้อง รายชื่อกรรมการผู้จัดการ เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าตัวตนเป็นอย่างไร เพราะเรื่องนี้เราต้องคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลเบาะแส มิฉะนั้นในอนาคตกระบวนการยุติธรรมจะไม่มีใครมาให้ข้อมูลแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ ป.ป.ช.จะต้องรักษาความลับให้กับเขา ซึ่งมันก็สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่อนุญาตให้ปกปิดได้ แต่นายวีระก็บอกว่าที่คาดดำคือการปกปิดข้อความ นี่เป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน นายวีระก็เอาไปโพสต์ว่า ป.ป.ช.ยังปกปิดข้อมูลอยู่ ป.ป.ช.ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ศาลปกครองที่สั่งบังคับคดีได้หรือไม่ จึงมีการเชิญคู่กรณีไป แล้วศาลก็ได้มีการไต่สวนแล้ว
"กรณีที่บอกว่าเลขาธิการไปโกหกนั้น ก็ได้มีการให้คำสาบานในวันที่ไปให้ถ้อยคำหรือบทความต่อศาล ก็มีการให้สาบาน ผมก็กล่าวคำสาบานว่าจะให้ถ้อยคำด้วยความตรงจริง ถ้าไม่ตรงไม่จริง ก็ขอให้ผมมีอันเป็นไปต่อคำสาบานของศาลเลย ผมก็คงไม่กล้าโกหก เพราะคำปฏิญาณที่ให้ต่อหน้าศาลนั้นมันรุนแรงมาก" นายนิวัติไชยกล่าว