'วีระ' ยื่นคำร้อง ศาล ปค. ขอออกหมายจับ เลขาฯ-ปธ.ป.ป.ช. เหตุไม่ยอมให้เอกสารคดีนาฬิกาหรู 3 รายการ เผยเอกสารที่ให้ยังมีส่วนที่คาดดำบ่งชี้เจตนาอำพรางความผิด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความคืบหน้ากรณีนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) ทวงถามความคืบหน้ารายละเอียดคดีนาฬิกาหรู พล.ประวิตร วงษ์สุวรรณจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยวันที่ 27 พ.ค. นายวีระได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่าได้ไปยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครอง ออกหมายจับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง(เลขาธิการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มากักขังไว้ จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาล ในคดีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ไม่ยอมให้เอกสารจำนวน 3 รายการ แก่ผู้ฟ้องคดี(นายวีระ สมความคิด) กรณีนาฬิกา 22 เรือนของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่อ้างว่าเป็นนาฬิกายืมเพื่อน
นายวีระกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2567 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ยังดื้อดึง ยังบังอาจท้าทายกฎหมาย ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งคำบังคับของศาลปกครอง โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ส่งมอบเอกสารที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยต่อผู้ฟ้องคดี อย่างไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วนตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ที่ สค 333/2562
โดยเอกสารที่ส่งมอบรายการที่ 1 จำนวน 500 กว่าแผ่น มีการคาดแถบดำปกปิดเนื้อหาในเอกสารในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ทำให้ผู้ฟ้องคดี(นายวีระ สมความคิด) ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อความส่วนที่ปกปิดดังกล่าวเป็นข้อความใด หมายถึงอะไร ทำให้เสียประโยชน์ไม่สามารถตรวจสอบหาความจริงของผู้ที่กระทำความผิดได้ ทำให้เชื่อได้ว่าการปกปิดสาระสำคัญดังกล่าว มีเจตนาอำพรางความผิด นอกจากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยังให้กระดาษที่แทบจะเหมือนกระดาษเปล่า ทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่าเอกสารหน้าดังกล่าวมีรายละเอียดอะไร หมายถึงเรื่องอะไร ไม่ได้ใจความอะไรเลย อีกจำนวนนับสิบแผ่น ทำให้เชื่อได้ว่ารายละเอียดต่างๆในหน้านั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องการจะปกปิดไม่ยอมเปิดเผย ที่สำคัญเอกสารทั้ง 3 รายการ จำนวนกว่า 500 หน้า 500 แผ่น ซึ่งผู้ฟ้องคดี(นายวีระ) ได้รับในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็ไม่มีการลงนามรับรองความถูกต้องของเอกสารที่ส่งมอบให้แก่นายวีระ เลยแม้แต่หน้าเดียว จึงไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่
“การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงถือได้ว่ามีเจตนาฝ่าฝืนคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างชัดแจ้ง สมควรที่จะถูกลงโทษตามกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่เลวต่อสังคมต่อไป ก็ต้องวัดใจศาลปกครอง ว่าจะกล้าจัดการกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อไปอย่างไร” นายวีระกล่าว