มท.คาด ย้ายผู้ลี้ภัยเมียนมาชุดแรกไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐฯ ได้ก่อนสิ้นปี 67 เผยผู้ลี้ภัยเมียนมาจำนวน 9 หมื่นคนต้องอาศัยในไทยนานหลายสิบปีแล้ว ชี้ตอนนี้ทีมจากสหรัฐฯ สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัย 2 ค่ายจำนวน 8,750 คนเสร็จสิ้นแล้ว ขณะ กต.ขอความร่วมมือหลายชาติช่วยสนับสนุนโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวอ้างอิงจากสำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริการายงานว่าทางรัฐบาลไทยเปิดเผยว่าขณะนี้ได้มีการเริ่มการสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทยแล้ว เพื่อจะดูว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้เข้าคุณสมบัติในโครงการสำหรับผู้ที่จะต้องการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาหรือไม่
ทางการไทยระบุว่ากลุ่มแรกนั้นน่าจะย้ายไปอยู่ที่สหรัฐฯได้ภายในก่อนสิ้นปีนี้
ปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยราว 90,000 คนอาศัยอยู่ในค่าย 9 แห่งทางฝั่งไทยของชายแดน ซึ่งผู้ลี้ภัยเหล่านี้หลบหนีการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองทัพกบฏชาติพันธ์ต่างๆที่กินเวลามานานหลายปีแล้ว โดยผู้ลี้ภัยบางส่วนเป็นผู้เกิดใหม่ในค่ายลี้ภัยในช่วงกลาง ค.ศ.1980 และอีกหลายคนก็อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้มานานนับหลายสิบปี
ทั้งนี้ประเทศไทย,สหรัฐอเมริกา และสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศแผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ในเดือน พ.ค. 2566
ทางกระทรวงมหาดไทยของประเทศไทยกล่าวว่ารัฐบาลไทยและ UNHCR ได้ตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ลี้ภัยเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของพวกเขาสําหรับโครงการย้ายถิ่นฐานเสร็จแล้ว และพบว่าผู้ลี้ภัยมากกว่า 80,000 คนถือว่ามีสิทธิ์ในโครงการ และเกือบทั้งหมดบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าพวกเขาต้องการตั้งถิ่นฐานใหม่
ทางด้านของนายทรงกลด ขาวแจ้ง เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบดูแลโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากที่ทางการไทยได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ทีมจากสหรัฐฯก็ได้มีการไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยสองแห่งแรกเพื่อดำเนินการสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยต่อไป ซึ่งกระบวนการนี้เสร็จสิ้นแล้ว
ค่ายทั้งสองแห่งที่ว่านี้ได้แก่ค่ายบ้านดอนยางและค่ายถ้ำหิน ซึ่งค่ายนี้เป็นสองค่ายที่เล็กที่สุดจากทั้งหมดเก้าค่ายและมีผู้ลี้ภัยอยู่ในสองค่ายนี้ประมาณ 8,750 คน
นายทรงกลดกล่าวต่อไปว่าสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยไม่ได้ให้รายละเอียดกับทางรัฐบาลไทยว่าเมื่อใดที่ผู้ลี้ภัยที่ได้รับการอนุญาตจะสามารถตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ หรือว่าเมื่อใดที่การสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยในอีกเจ็ดค่ายที่เหลือจะเริ่มขึ้น แต่คาดว่าผู้ลี้ภัยชุดแรกจะได้รับการอนุมัติให้ไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐฯ ในช่วงปีนี้
อนึ่งประเทศไทยปฏิเสธไม่ให้ผู้ลี้ภัยมีถิ่นที่อยู่ถาวรตามกฎหมายในประเทศไทย และควบคุมการเคลื่อนไหวเข้าและออกจากค่ายลี้ภัยอย่างเข้มงวด พอมาถึงเหตุรัฐประหารในช่วงปี 2564 ก็ทำให้เมียนมาซึ่งกำลังทดลองประชาธิปไตยในช่วงสั้นๆต้องหยุดชะงัก และหยุดความหวังของผู้ลี้ภัยที่ต้องการจะเดินทางกลับประเทศด้วยเช่นกัน
"การใช้ชีวิตในค่ายไม่ใช่เรื่องง่าย" นายเอห์ เน มู วัย 30 ปี ซึ่งหนีออกจากเมียนมากับพ่อแม่เมื่อเขาอายุได้ 3 ปีกล่าวกับสำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกา โดยปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ที่ค่ายแม่หล้าซึ่งเป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเก้าค่าย
นายเอห์กล่าวต่อไปว่าที่นี่ (ประเทศไทย)เราเป็นแค่คนผิดกฎหมาย … ไม่มีอิสระสําหรับเรา การไปที่นี่และที่นั่นนอกค่ายเราไม่ได้รับอนุญาต และเขาก็นึกภาพตัวเองกลับไปเมียนมาไม่ออก แต่ก็ไม่เห็นอนาคตที่แท้จริงสําหรับตัวเองในค่าย
นายเอห์กล่าวว่าตัวเขาได้สมัครเข้าร่วมโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่และกําลังรอการสัมภาษณ์อย่างใจจดใจจ่อ
"ถ้าผมมีโอกาสย้ายไปอยู่อเมริกา ผมเชื่อว่าจะได้รับโอกาสหรืออิสระมากขึ้นในการใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง" นายเอห์กล่าว
ขณะที่กระทรวงต่างประเทศของไทยให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ออฟอเมริกา โดยสนับสนุนให้หลายประเทศเข้าร่วมโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่นี้มากขึ้นเรื่อยๆ
เรียบเรียงจาก:https://www.voanews.com/a/myanmar-refugees-in-thailand-start-interviews-for-us-resettlement/7624557.html