‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์ที่อิตาลี ขอบคุณ ‘พิชิต ชื่นบาน’ ลาออกรัฐมนตรีสำนักฯ เพื่อรัฐบาล ชื่นชมมีสปิริต ยังไม่มีตำแหน่งใหม่ให้ เผยปลัดฉิ่งขอขยายเวลาสอบสวน ‘บิ๊กต่อ’ ขณะที่ดราม่าข้าวจบแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 เวลา 11.20 น.ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า กรณีที่ นายพิชิต ชื่นบาน ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในระหว่างที่กำลังปฏิบัติภารกิจงานราชการ ที่สาธารณรัฐอิตาลี นั้น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ฝ่ายบริหารต้องน้อมรับคำติชมและกระบวนการของฝ่ายตุลาการ หรือฝ่ายนิติบัญญัติ ที่จะตรวจสอบ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
@ขอบคุณ ‘พิชิต’ มีสปิริต
ส่วนเรื่องของนายพิชิต อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าใจว่า เพิ่งจะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมง ที่ผ่านมา จริงๆ แล้ว นายพิชิต เห็นแก่ประโยชน์บ้านเมืองเป็นหลัก อยากให้นายกฯและคณะรัฐมนตรี เดินไปข้างหน้าได้ ขณะที่ปัญหาในบ้านเมืองก็หนักหนาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อวานนี้ ทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพึ่งจะแถลงตัวเลขจีดีพี 1.5 ถือว่าต่ำติดดิน หากเข้าใจว่าถ้ามีการพูดคุยกันกับทางเลขาธิการสภาพัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ ได้ทำมาตลอด เรื่อง tourism และหลายๆ เรื่อง เราต้องเดินหน้าต่อไป เข้าใจว่า นายพิชิต อยากให้รัฐบาลเดินไปข้างหน้าได้ โดยไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยต้องขอขอบคุณใน Spirit ที่แสดงออกมา
@สละตัวเอง ให้รัฐบาลเดินหน้า / ยังไม่ได้คุยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนเป็นการเปิดทางให้กับท่านนายกรัฐมนตรีเดินหน้าประเทศต่อไป โดยไม่ต้องมีความกังวลอะไรตรงนี้ นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่า เป็นการเสียสละและไม่อยากไปกดดันศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้พิจารณาอย่างอิสระจริงๆ ในกรณีนี้มีคำถามมาเยอะและมีข้อข้องใจเยอะ ฉะนั้น ตัวท่านเองไม่อยากที่จะเป็นภาระของรัฐบาล จึงได้แสดงสปิริตออกมา จึงต้องขอขอบคุณ
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้คุยกับนายพิชิตมาก่อนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีการคุย ก่อนที่จะเดินเข้ามาให้สัมภาษณ์กำลังคุยเรื่องงานอยู่ พอดีนายพิชิตได้โทร.เข้ามาก็ไม่ได้รับ เดี๋ยวเสร็จภารกิจต้องโทร.กลับไปหานายพิชิต เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้รับหนังสือและลงนามแล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า เห็นแล้วเมื่อกี้นั่งรถกลับมา เดี๋ยวจะโทร.ไปหานายพิชิต ต้องไปให้กำลังใจเขาหน่อย ซึ่งจริงๆ แล้ว น่าจะดีกับทุกฝ่าย เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการกดดันอะไรทั้งสิ้น
@ยังไม่มีตำแหน่งใหม่ให้
เมื่อถามว่า จะมีตำแหน่งให้กับนายพิชิตต่อไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องตำแหน่งคงไม่มี แต่ท่านเองจิตใจก็อยู่กับพรรคเพื่อไทย มาโดยตลอด ก็คงช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง หรือท่านอาจจะอยากพักผ่อน อย่างไรก็ตาม ต้องขอคุยกับนายพิชิตก่อน ก็ไม่อยากไปก้าวล่วงท่านจะทำอะไร เมื่อถามว่า จำเป็นจะต้องรีบหารัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายมาเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เดี๋ยวต้องขอกลับไปคุยกันก่อน เพราะพึ่งปรับคณะรัฐมนตรีไปคงต้องขอปรึกษากันก่อน
@ปลัดฉิ่งขอขยายเวลาสอบ ‘บิ๊กต่อ’
นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ต่อถึงกรณีที่ครบ 60 วันการโยกย้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไปประจำสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความชัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่งทำหนังสือขอขยายเวลามา ซึ่งก็คงต้องต่อไปให้และพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องพวกนี้ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย อยากให้พิจารณาสอบสวนไตร่ตรองให้ถูกต้อง เดี๋ยวตัดสินใจอะไรไปแล้วจะไม่ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย
เมื่อถามว่า ผบ.ตร.จะยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือย้ายกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ของ พล.ต.ต่อศักดิ์ ยังเหมือนเดิม ซึ่งการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องให้สอบสวนต่อไปอีกหน่อย เพราะเรื่องซับซ้อน มีเรื่องเยอะเหลือเกิน ก็อยากทำให้ดีทำให้จบๆไป พิจารณาให้รอบคอบทุกมิติทุกข้อกล่าวหาของทั้งสองท่าน ขอให้คอยนิดนึง ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรม
@ดราม่าข้าว จบแล้ว
นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ผลการตรวจสอบ ข้าว 10 ปี ในโครงการรับจำนำข้าวที่ไม่มีสารอันตราย มันจบไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ ทุกอย่างถ้าเก็บดีก็ได้ราคาเข้ารัฐมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีต้องขอบคุณ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ท่านทำอย่างเต็มที่ และหากพี่น้องสื่อมวลชนหมดข้อกังวล รวมทั้งมีองค์กรที่สามารถมายืนยันได้ก็เป็นที่สบายใจ ส่วนผู้ที่จะมาประมูลซื้อไปก็ต้องมีการตรวจสอบอยู่ดี ขอให้เป็นไปตามกลไกเชิงพาณิชย์จะดีกว่า