เผยมติ ป.ป.ช.เสียงเอกฉันท์ ตีตกคดี 'รณภพ เหลืองไพโรจน์' อดีตรองอธิบดี ปค.-พวก เรียกรับสินบนตอบแทนจัดซื้อพัสดุจากคู่สัญญา หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่ากระทำความผิด ไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2567 เสียงเอกฉันท์ตีตกข้อกล่าวหา นายรณภพ เหลืองไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) และ นายวิทยา พัฒนวัชรกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัสดุ กองคลัง กรมการปกครอง กรณีเรียกหรือรับสินบนตอบแทนในการจัดซื้อพัสดุของกรมการปกครอง จากคู่สัญญา
หลังพิจารณาสำนวนไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่ากระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 กองการสื่อสาร ได้ขออนุมัติจัดทำโครงการดังกล่าว ตามที่กองสื่อสารได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 แผนงานยุทธศาสตร์รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ผลผลิตการรักษาความมั่นคงภายใน งบดำเนินงาน โครงการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ และอะไหล่เครื่องมือสื่อสาร จำนวน 9,816,000 บาท โดยมีห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.เอ.อิเลคทริค เป็นผู้ขาย ซึ่งห้างหุ้นส่วนจํากัด ที.เอ.อิเลคทริค ได้รับแจ้งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้สั่งการให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เรียกรับเงินจํานวน 15% ของราคาซื้อขาย
โดยในประเด็นการเรียกรับเงินนั้น คงมีประจักษ์พยานเพียงรายเดียวที่ยืนยันถูกเรียกและนำเงินไปมอบให้นายวิทยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 โดยไม่มีบุคคลใดอยู่ด้วยในขณะที่ถูกเรียกและนำเงินสดจำนวน 1,150,000 ซึ่งบรรจุใส่ซองสีน้ำตาลของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารกรมการปกครอง
ขณะส่งมอบเงินมีเพียงตนและนายวิทยา อยู่ด้วยกันเพียงสองคน ไม่มีบุคคลใดรู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด โดยจะได้นำไปมอบให้เมื่อวันที่เท่าใดนั้น ตนจำไม่ได้ ซึ่งเงินสดจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่เก็บไว้ที่บ้านไว้ใช้หมุนเวียนในการทำกิจการ ไม่ได้ไปเบิกถอนจากธนาคารเพื่อนำมามอบให้แต่อย่างใด ส่วนเมื่อได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วมีการเรียกรับเงินจากตนเพิ่มให้ครบจำนวน 15% โดยอ้างว่าที่จ่ายมายังไม่ครบหรือไม่นั้น ตนจำไม่ได้
ส่วนผู้กล่าวหา และลูกจ้างของผู้ขาย ก็ล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่า ซึ่งไม่ได้รู้ ได้ยินหรือได้เห็นเหตุการณ์การเรียกรับเงินด้วยตัวเอง คงรับฟังมาอีกทอดหนึ่ง โดยที่ประจักษ์พยานเองก็ให้การในลักษณะไม่ยืนยันข้อเท็จจริงในประเด็นสำคัญหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียกเงินเพิ่มภายหลังจากที่นำเงินสดไปมอบให้นายวิทยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แล้วแต่ยังไม่ครบ
แต่ประจักษ์พยานเองกลับให้การว่า เมื่อได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว จะมีการเรียกรับเงินจากตนเพิ่มให้ครบจำนวน 15% โดยอ้างว่าที่จ่ายมายังไม่ครบหรือไม่นั้น ตนจำไม่ได้ , ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระดาษที่อ้างว่าเป็นลายมือเขียนของนายวิทยา มอบให้ซึ่งเป็นการคำนวณเพื่อเรียกเงินเพิ่มในส่วนที่ยังจ่ายไม่ครบ ซึ่งจำก็ไม่ได้แล้วว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่นายวิทยา เป็นผู้จัดทำขึ้นและมอบให้กับตนหรือไม่
จึงเห็นว่าเป็นคำให้การที่เลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือ โดยที่นายรณภพ ไม่เคยเรียกรับเงินและตนก็ไม่เคยพบกับนายรณภพ แต่อย่างใด แต่เชื่อว่านายรณภพ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นผู้สั่งการให้นายวิทยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มาเรียกรับเงิน เพราะเป็นผู้มีอำนาจสั่งซื้อโครงการดังกล่าว
กรณีจึงเห็นได้ว่าเกิดจากความเข้าใจของพยานเอง โดยไม่มีพยานหลักฐานว่านายรณภพ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นผู้สั่งการแต่อย่างใด ซึ่งนายวิทยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เองก็ได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ในชั้นตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งจากคำให้การของพยานบุคคลที่ผู้กล่าวหาอ้างว่ารู้เห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาในการเรียกรับเงินดังกล่าว ก็มิได้รู้เห็นถึงพฤติการณ์ในการเรียกรับเงินดังกล่าวแต่อย่างใด และคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยทราบหรือได้ยินว่ามีการเรียกรับเงินในโครงการดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงอาศัยเพียงคำให้การของประจักษ์พยานที่ให้การไม่ยืนยันข้อเท็จจริงในสาระสำคัญแห่งคดี และพยานบอกเล่า ซึ่งไม่ได้รู้ ได้ยินหรือได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง คงรับฟังมาอีกทอดหนึ่ง จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เมื่อไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นให้รับฟังประกอบเป็นหลักฐานได้มั่งคงว่ามีการเรียกรับเงินกันจริง เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏแล้ว กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า นายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายวิทยา พัฒนวัชรกุล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้ร่วมกันเรียกรับเงินตามที่กล่าวหา
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้ว มีมติเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง ว่าจากการไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า นายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนายวิทยา พัฒนวัชรกุล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา
ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาตกไป
อ่านประกอบ :