‘เศรษฐา’ เปิดใจครบ 7 เดือนนั่งนายกฯ ชี้ตัวเลขท่องเที่ยว-จัดเก็บรายได้ดีขึ้นแต่ยังไม่โดน ยังไม่พอใจผลงานภาพรวม รับเข้ามาเป็นนายกฯ ต้อวปรับตัวจากการเป็นนักธุรกิจมากมาย ฟังทุกคนทุกข้าง ยืนยันมีเพื่อนเป็นพ่อค้าไม่ได้ทำให้โกงเอื้อประโยชน์ เพราะส่วนตัวก็รวยแล้ว ก่อนชี้นักการเมืองไม่ได้เลวไปหมด แจกเงินหมื่นปักหมุดไตรมาส 4 มาแน่และแจกรอบเดียว ให้ประชาชน-สื่อตัดสินภาวะผู้นำ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 15 เมษายน 2567 ที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้วแต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว 140% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ณ เวลานี้ จากเดือนมกราคม-เมษายน ได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90% มั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน สามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การอำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์ถื่อน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้
ส่วนเรื่องของกรมศุลกากร ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี จากรายได้ของประเทศ ปีละประมาณ 3 ล้านล้านบาท กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน 3 กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ 1 แสนล้าน คิดเป็นประมาณ 3% ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ แต่แม้เก็บได้ 3% แต่ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อน ที่มากระทบชีวิตประชาชน หนึ่งในนั้นคือการควบคุมยางพาราเถื่อนจนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด ซึ่งตนได้พูดหลายครั้งว่ากรมศุลกากรมีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้ได้แค่ 3% ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆ ในหลายมิติ หรือเรื่อง ภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหลทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร
นายเศรษฐา ทวีสิน ทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566
ที่มาภาพ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
@7 เดือน ยังไม่ปลื้มผลงานตัวเอง
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ไม่สบายใจหรือพึงพอใจ ขอใช้คำว่ายังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7 เดือน แต่ก็ต้องพยายามต่อไปและทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุนเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด
นายกรัฐมนตรี ยังยอมรับว่า ต้องปรับตัวมากจริงๆ จากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมือง การเป็นซีอีโอของบริษัท มีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัทก็ได้รับการซัปพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการและผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมือง และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มี 141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค 141 เสียงจาก 500 เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน ส.ส. ส.ว. สถาบันความมั่นคง NGO นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย ดังนั้น ขอใช้คำว่าหุ้นส่วน ในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรค ส.ส. แต่ละคน ก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้น การบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วน ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่า เรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่า การขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
@มีเพื่อนพ่อค้าเยอะ ไม่โกง เพราะรวยอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า การเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกรัฐมนตรี มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจ ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ นายกรัฐมนตรีมีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หน้าที่ของตนไม่ไช่การเซฟตัวเอง ตนมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมืองมีจุดมุ่งหมายเดียว คือ การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติ ให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเองตนไม่มีตรงนี้ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ตนไม่มีแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องพูดเรื่องทรัพย์สิน เรื่องของชีวิตส่วนตัวลงตัวแล้ว มีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมืองไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งได้ย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า 3 ปีครึ่งจากนี้ไป มีเรื่องเดียวคือ ยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และหวังว่า จะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ การที่มีเพื่อนเป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อน เป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่อง และประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อประชาชน
เมื่อถามต่อว่า การมานั่งเป็นผู้นำอาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้าง ในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน นายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เจอเพื่อนทุกคนก็คุยกันว่า คนอายุ 60 ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ตัวเองก็อยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคย ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น
“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้ว และบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบ จากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะฉะนั้น มั่นใจว่า หากอีก 3 ปีครึ่ง ต้องมีเพื่อนน้อยลงแลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม” นายเศรษฐากล่าว
@นักการเมืองไม่ได้เลวหมด
ผู้สื่อข่าวยังถามอีกว่า มุมมองทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลายคนอาจบอกว่านักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่า นักการเมืองเลวเพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของความเห็นต่าง หรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง ดังนั้นการที่จะต้องจูนเข้าหากัน หรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไร และเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว คิดว่า คนพวกนั้นดูถูกไปนิดนึง ตรงนี้ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมืองจะมาขออะไรก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม
ในเรื่องของงบประมาณ มีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า “Bigger bang for the buck” หมายความว่า หากใส่เงินไป 1 บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า 1 เหรียญ โดยนายกรัฐมนตรียกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วมว่าหากดูแลป้องกันไม่ให้น้ำท่วม ไม่แล้วก็จะได้ผลประโยชน์สองต่อ คือ ผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรค สส. แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้น รัฐบาลก็ต้องรับฟัง
@งบช้าเพราะฟอร์มรัฐบาลนาน
ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่มีความล่าช้า ทำให้หลายนโยบายของรัฐบาล ถูกขยับออกไป อย่างเช่น โครงการดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ที่ก่อนหน้านี้ มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะให้ใช้ภายในต้นปีนี้ แต่สุดท้ายกลับถูกเลื่อนออกไปนั้น นายเศรษฐาระบุวว่า จริงๆ แล้ว ไม่อยากจะขอโทษเรื่องงบประมาณล่าช้า ซึ่งหากย้อนไปในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ใช้เวลาประมาณสามเดือนพอดี ถือว่านานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยได้ 141 เสียง มาเป็นที่สอง และพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง ก็ทำอย่างเต็มที่ ให้ทางก้าวไกลฟอร์มรัฐบาลให้ได้ มีการโหวตให้ไม่แตกแถวเป๊ะ และก็โหวตให้ก้าวไกลเต็มที่ทั้งสองครั้ง
ขณะนั้นพรรคก้าวไกลก็บอกมาตลอดเวลาว่าสามารถที่จะฟอร์มรัฐบาลได้ และมีเสียง ส.ว.เพียงพอ พรรคเพื่อไทยเราก็ให้เกียรติที่จะสนับสนุน และในต่างประเทศหากเป็นพรรคอันดับหนึ่งอันดับสอง ก็จะต้องแข่งขันกัน แต่พอถึงเวลาพรรคเราส่งแรงให้พรรคก้าวไกลเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถฟอร์มรัฐบาลได้ก็เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยเราที่ต้องรับไม้ต่อ ซึ่งก็ทราบว่า งบประมาณจะใช้ได้จริงในช่วงเดือนพฤษภาคม และไม่สามารถนำกรณีดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างได้ เพียงแต่บอกเฉยๆ แต่เรื่องของการใช้นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราทำได้ทั้งวีซ่าฟรี พักหนี้เกษตรกร และลดค่าใช้จ่าย
@ยัน Q4 ปีนี้ได้ใช้ดิจิทัลวอลเลต
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเลต นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องการเม็ดเงินใหม่ เพราะประกาศว่าทุกคนจะต้องได้หมด ใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท โดยต้องใช้หมดภายใน 6 เดือน อายุ 16 ปี และใช้ภายในอำเภอเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค แต่เอาเข้าจริงเมื่อได้คะแนนเสียงเพียง 141 เสียง ไม่ใช่แลนด์สไลด์อย่างที่หวังไว้ และมีหลายภาคส่วนที่เราต้องรับฟัง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นักวิชาการต่างๆ รวมไปถึงการตั้งหลักเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ เช่นคนรวยใช้หลักเกณฑ์อะไรในการวัด รวมถึงที่มีการตัดกลุ่มเป้าหมาย ที่ถูกตัดไป 12% ของวงเงินทั้งหมด และมีการตั้งคำถามว่าจะ กู้เงินมาใช้ในโครงการดังกล่าวหรือไม่ จนกระทั่ง บริหารจัดการตรงนี้ ให้มันมาจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 4 นี้ ได้อย่างแน่นอนยืนยันทุกอย่าง ทุกขั้นตอนตรวจสอบได้ สุจริตบริสุทธ์ใจ พร้อมย้ำว่าขอให้คอยในไตรมาสที่ 4
เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีอะไรมาเตะถ่วงทำให้โครงการเงินดิจิทัล ต้องเลื่อนออกไปมากกว่าไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นายกรัฐมนตรีรีบตอบกลับทันทีว่า “มั่นใจ”
เมื่อถามต่อว่า หากงบประมาณลงมาแล้ว มีการประเมินหรือไม่ว่าการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเลต รวมไปถึงเศรษฐกิจต่างๆ ผลจะออกมาในช่วงไตรมาสใด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่า ในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีหน้าจะเห็นผล และนโยบายการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นเรือธงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างการจัดงานทั้งพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต ก็เกิดขึ้นมากมาย
เมื่อถามอีกว่า ในระหว่างทางที่นโยบายดิจิทัลวอลเลต ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้รัฐบาลจะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ออกมาก่อนหน้าหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ระหว่างทาง จะมีนโยบายอื่นๆ ออกไป ซึ่งเป็นไปตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เช่นการสร้างถนน หรืออย่าลืมว่าเกษตรกร ยังมีอีกหลายสิบล้านคน ที่ต้องดูเรื่องไม่ท่วมไม่แล้ง
@แจกรอบเดียว ไม่มีอีก
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลให้เงินมากเกินไปจนสุดท้ายไม่ได้อะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ชัดเจนว่า เราบอกว่าทำครั้งเดียว แต่การเติมเงินเข้าไปในกระเป๋าทุกๆ คน ที่จะเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโควิด-19 เติมเงินเพียงแค่ 1,000-2,000 บาท แล้วไปใช้ที่ไหนก็ได้ แต่ครั้งนี้มีการจำกัดประเภทสินค้า ระยะทางที่สามารถใช้ได้ วันนี้เราต้องการที่จะให้อำเภอเล็กๆในจังหวัดต่างๆ ได้ลืมตาอ้าปากด้วย มีโอกาสในการจับจ่ายใช้ส่อยเงินด้วย เรื่องนี้ตนอธิบายไปหลายหนแล้วและก็มั่นใจว่าเรามาถูกทาง
@รับฟังฝ่ายค้าน ให้ชาวบ้านตัดสินเล่นการเมืองไปไหม
เมื่อพูดถึงนโยบายเรือธงไปแล้ว จะไม่พูดถึงฝ่ายค้านที่มีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้อย่างพรรคก้าวไกลคงไม่ได้ นายเศรษฐากล่าวต่อว่า การทำงานของฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นการเตือนสติ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ดี ก็พร้อมรับไปพิจารณา ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว ที่ต้องมาดูแลเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาล อะไรที่ทำยังไม่ดีพอ ก็พร้อมนำไปปรับปรุง อะไรที่มีขีดจำกัด ก็จะพักไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จะแก้ไขก็จะแก้ไข เชื่อว่า ตนเองมีความเข้าใจ พยายามแยกแยะ ไม่โฟกัสเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรืออะไรที่เป็นเกมการเมืองมากเกินไป พยายามไปโฟกัสเรื่องคำแนะนำที่เป็นผลดีกับประชาชน และอยู่ช่วงเวลาที่สามารถทำได้
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินดีกว่า เพราะไม่อยากสร้างประเด็นทางการเมือง พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้ละเลยเรื่องรายละเอียด บางเรื่องมีระยะเวลาก็ต้องพยายามจัดการกันไป หรือบางเรื่องก็พยายามกำหนดกรอบเวลา หลายอย่างที่พยายามทำมา ก็ต้องมาช่วยกันดู ทั้งรายละเอียดงบประมาณ การทุจริตประพฤติมิชอบ
@ถึง สส. ให้ทุกอย่างไม่ได้ ต้องบริหารภาษีประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามถึงความสัมพันธ์กับสส.พรรคเพื่อไทย ที่ยังมีเสียงสะท้อนจากภายในพรรคว่าระหว่างนายกฯกับสส.ยังมีระยะห่างกันมาก และส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดเรื่องงบประมาณ นายเศรษฐาตอบว่า หลายโครงการที่ขอมาก็มีได้ อย่างที่บอกงบประมาณมีจำกัด และตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ดูแลภาษีของประชาชน และมีหน้าที่ตอบกับรัฐสภาว่าภาษีนั้น มีการใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เช่น การสร้างสนามบิน ด่านชายแดนต่าง ๆ ต้องดูให้ดี เพราะมีการพูดคุย และดูองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง จึงอยากค่อยๆทำ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ขอให้ถึงเวลาก่อน ซึ่งหน้าที่ของตนเองก็ต้องปรับจูนระหว่างตนเองกับ สส. ของพรรคตลอดเวลา เพราะตนเองต้องหลังพิงประชาชน เพราะเป็นคนที่ส่งให้ตนเองมายืนอยู่ตรงนี้ และต้องผ่าน สส. ที่มีถึง 141 คน ยังไงก็ต้องโน้มน้าวเข้าหาตลอดเวลา และพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเรื่องคืออะไร ประเด็นคืออะไร เหตุผลที่ให้ได้ และให้ไม่ได้ หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลง หรือเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของการพูดคุย เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ยังต้องพยายามไปพบปะพูดคุย หาวิธีสื่อสารให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ สส. พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว เพราะตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ซึ่งในสัปดาห์หน้า ตนเองจะลงพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต ไปดูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4
ส่วนเรื่องการบริหารอารมณ์นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คิดว่าคนเราก็เป็นคน ก็มีอารมณ์บ้าง และตนเองไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ซึ่งตนเองเข้าใจว่าถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องไม่มีสิทธิ์เลือกโกรธ ต้องพยายามรับฟัง ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ซึ่งตรงนี้ก็พยายามทำให้ดียิ่งขึ้นอยู่ บางเรื่องก็เข้าใจได้ ก็พยายามฝึกกันต่อไป
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เป็นนักธุรกิจแล้วใจร้อนมาก แต่เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ใจเย็นขึ้นเยอะ จนเพื่อนบ่น นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ หรือให้สื่อมวลชนเป็นคนสะท้อนว่ามีการพัฒนาอย่างไร ถ้าถามว่าทำได้ดีพอหรือยัง ต้องตอบว่ายังไม่ดี ต้องพยายามกันต่อไป เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ ต้องรับฟังทุก ๆ คำถาม