ชุดสอบข้อเท็จจริง ตร.เผย ผลสอบพยานเกือบ 30 คน เชื่อได้ว่า บิ๊กโจ๊กได้รับผล ปย.ฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ เหตุพบเส้นทางการเงิน แต่ขอตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติม นัด 30 เม.ย.ให้ทีมทนายบิ๊กโจ๊กส่งเอกสารเพิ่มเติม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวกาทำงานของคณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพลตำรวจเอกวินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการฯ ได้แถลงข่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เกือบ 30 คน ทางคณะกรรมการมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับศาล ซึ่งเชื่อว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.มีส่วนร่วมในการกระทำผิดจริง โดยเป็นการฟอกเงิน ที่พบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันออนไลน์มายังบัญชีม้าและเชื่อมโยงมายังพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ จึงเชื่อว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์รู้และได้รับประโยชน์บางส่วนจากการกระทำดังกล่าว แต่ยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีก
พลตำรวจเอกวินัยกล่าวอีกว่าพยานจำนวนเกือบ 30 รายที่มาให้ปากคำกับคณะกรรมการฯ มาจากทั้งพยานฝ่ายพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ และฝ่ายที่กล่าวหาพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมลผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เช่น พลตำรวจโทอัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, พลตำรวจตรีนำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์, พันตำรวจเอกภาคภูมิ พิศมัย, พันตำรวจเอกดุสิต พรหมสิน ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา โดยทีมทนายความของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ จะเข้าให้ข้อมูลและให้ส่งเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงภายในวันที่ 30 เมษายนนี้ และคณกรรมการฯจะให้ฝั่งพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ส่งข้อมูลเอกสารที่เหลือทั้งหมดมาให้คณะกรรมการภายในวัน 20 เมษายนนี้
พลตำรวจเอกวินัยยืนยันว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการนั้นมีผลออกมาก่อนที่ศาลจะออกหมายจับจากพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ โดยหากข้อมูลฝั่งพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วก็จะทยอยส่งให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฝั่งพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ เนื่องจากหากไม่ทันกำหนดภายใน 60 วันก็สามารถขยายขยายระยะเวลาต่อไปได้ แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนที่มองว่าทางการตรวจสอบฝ่ายพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วนั้น เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานมาเป็นเวลานานกว่า 7 เดือน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดนี้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานจากบุคคลที่เกี่ยวข้องเอง ไม่ได้นำข้อมูลจากพนักงานสอบสวนมาอ้างอิง
ส่วนกระบวนการตรวจสอบฝั่งของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์นั้น ในพุธวันที่ 10 เมษายนนี้ เวลา 10:30 น. จะเชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มเข้าให้ข้อมูลที่บ้านมนังคศิลา หลังจากที่คณะทำงานได้เชิญมาหลายครั้งแต่ทนายตั้มอ้างว่าติดภารกิจเดินสายร้องเรียน ซึ่งจะต้องสอบถามทนายตั้มเกี่ยวกับที่มาของเอกสารที่ได้นำไปร้องทุกข์กล่าวโทษพลตำรวจเอกต่อศักดิ์และภรรยาที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน รวมทั้งที่มาของพยานบุคคล และเส้นทางการเงินอ้างว่ามีความเชื่อมโยง กับพลตำรวจเอกต่อศักดิ์และภรรยา
พร้อมยืนยันว่าคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจในการตรวจสอบทั้งข้าราชการและบุคคลทั่วไปที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในชั้นศาลในอนาคต แต่หากภายหลังเกิดกรณีศาลมีคำพิพากษาว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งขัดกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการจะถือเป็นปัญหาหรือไม่นั้น พลตำรวจเอกวินัยกล่าวว่าเป็นเรื่องของอนาคต เพราะแม้ว่าศาลจะชี้ว่าไม่ผิดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะไม่ผิด เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน หากอนาคตพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์จะฟ้องกลับคณะกรรมการชุดนี้ก็ไม่กังวล และรู้สึกยินดี
พลตำรวจเอกวินัยกล่าวทิ้งท้ายว่าคณะกรรมการชุดนี้จะพยายามฟื้นความศรัทธาให้กับองค์กรตำรวจด้วยการทำงานอย่างตรงไปตรงมา