ผู้นำฝ่ายค้านอ่านญัตติอภิปรายม.152 ซัดเพิกเฉย ไม่ทำตามนโยบายหาเสียง ไม่จริงใจแก้ปัญหา อัด'เศรษฐา'ไร้วุฒิภาวะ ไม่รู้หน้าที่ผู้นำต้องทำอะไร ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นหลายด้าน นายกฯโต้บริหาร 7 เดือนเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 3 เมษายน 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1ครั้งที่ 32 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง เป็นพิเศษ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 วันแรก
นายชัยธวัช ตุลาธน สส.พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อ่านญัตติในการอภิปรายว่า โดยคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินเป็นระยะเวลามา 6 เดือนแล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ไม่จริงใจไม่ตั้งใจ เพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายของตนที่ให้ไว้ต่อรัฐสภา ขาดประสิทธิภาพหรือความชัดเจนแน่นอน ยังไม่มีการขับเคลื่อนนโยบายหรือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
นโยบายเร่งด่วนสวนทางกับความเป็นจริง การดำเนินการนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลแถลงให้กับรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้สินในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาการเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมถึงการพื้นหลังนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ล้วนขาดยุทธศาสตร์และการปฏิบัติที่ตรงเป้าหมาย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ยังมีพฤติกรรมที่ทำลายความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศ รัฐบาลปล่อยปละละเลยให้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเอารัดเอาเปรียบประชาชน ระบบราชการแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบ หรือเกิดการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย แทนที่จะเร่งฟื้นฟูหลักนิติธรรมนิติรัฐ กลับเกิดการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม ทำลายหลักความเสมอภาคเท่าเทียมตามกฎหมายและการเมือง รวมถึงไม่จริงใจต่อการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นและการลดความเหลื่อมล้ำ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การปฏิรูปกองทัพ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาการศึกษา และปัญหาสิ่งแวดล้อม
การดำเนินการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดและความเดือดร้อนของประชาชน มีความผิดพลาดไร้ความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน การดำเนินนโยบายต่างประเทศ ยังไม่สามารถฟื้นฟูบทบาทสำคัญของไทยในเวทีโลกได้
"หากปล่อยปละละเลยให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้เป้าหมายไร้จริยธรรมและไร้วุฒิภาวะต่อไป จะส่งผลต่อการฟื้นฟูสภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ตามที่พี่น้องประชาชนคาดหวังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา" ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวตอนหนึ่ง
นายชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า จากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นจึงมีความจำเป็นที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทย จะได้เสนอสภาพปัญหา ข้อเสนอแนะและซักถามข้อเท็จจริงต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการดำเนินนโยบายและแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน
ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมลงชื่อในการอภิปรายครั้งนี้ด้วยจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 จึงได้ร่วมกันเสนอญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือให้ข้อเสนอแนะโดยไม่มีการลงมติ อันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 152
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า การเสนอญัตตินี้เป็นการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรด้วยหวังเห็นว่า การซักถามข้อเท็จจริงหรือการเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
เมื่อรัฐบาลชุดนี้ได้บริหารประเทศมากว่าครึ่งปี ประชาชนก็คาดหวังที่จะได้เห็นนโยบายในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจปากท้องที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ประชาชนพบคือการดำเนินนโยบายที่สับสน คิดไปทำไป นโยบายเรือธงของรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์และแนวทางที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม ตรงเป้าหมาย และแทนที่ประชาชนจะได้เห็นการบริหารราชการแผ่นดินที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก เสมอภาคเท่าเทียม เป็นธรรม เรากลับเห็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่ผูกขาดหรือเอื้อประโยชน์ต่อทุนใหญ่เต็มไปหมด หลายนโยบายแอบอ้างประชาชนบังหน้าแต่เบื้องหลังเนื้อในกลับเต็มไปด้วยการฉ้อฉลเชิงนโยบาย เปิดทางให้รัฐมนตรีและพวกพ้องแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
นายชัยธวัชอภิปรายต่อไป ว่าประชาชนยังคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รัฐบาลชุดใหม่ตอนเริ่มจัดตั้งรัฐบาลแถลงด้วยความมั่นใจว่าจะผลักดันให้เกิดการจัดทำประชามติเพื่อให้มีการจัดทำธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว วันนี้ผ่านไป 7 เดือนแล้วยังคงวนไปวนมา ประชาชนไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงรัฐบาลจะเอาอย่างไรต่อ จนมีการวิเคราะห์กันว่าแม้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันจริงในรัฐบาลสมัยนี้ เราก็อาจจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะยังคงไม่ไว้วางใจประชาชนเหมือนเดิม
ประชาชนยังคาดหวังว่าหลังมีรัฐบาลใหม่ จะได้เห็นการฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน จะเห็นการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่ากระบวนการนิติสงครามยังดำเนินต่อไปไม่ต่างจากหลังการรัฐประหาร สถานการณ์การปราบปรามประชาชนที่มีความเห็นต่างในนามกฎหมายยังไม่เปลี่ยนแปลง สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเริ่มมีสัญญาณว่าจะถูกคุกคามแทรกแซง
นายชัยธวัชกล่าวต่อไป ว่าประชาชนยังคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เห็นการฟื้นฟูนิติธรรมนิติรัฐอย่างที่รัฐบาลแถลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับเป็นวิกฤตศรัทธาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในวงการตำรวจรวมถึงในระบบราชการยังเต็มไปด้วยระบบตั๋วระบบส่วย จนประชาชนไม่สามารถไว้วางใจในกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ความเสมอภาคเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมาย และความเสมอภาคเท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรมถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลาย วิกฤติศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
“ท่านไม่ต้องพูดว่าถ้าไม่ชอบกันก็ต่างคนต่างอยู่ เพราะพี่น้องประชาชนต้องการอยู่ในระบบเดียวกัน ต้องการอยู่ในประเทศเดียวกัน หนึ่งระบบที่พวกเราได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเสมอภาคกัน ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เสมอหน้ากันต่อหน้ากฎหมายฉบับเดียวกัน” ชัยธวัชกล่าว
ผู้นำพรรคร่วมฝ่ายค้านยังอภิปรายต่อไป ว่าหลังมีรัฐบาลใหม่ประชาชนคาดหวังจะเห็นระบบการเมืองที่นำพาชาติและประชาชนเดินไปข้างหน้า ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่สิ่งที่เราได้กลับกลายเป็น “ประชาธิปไตยแบบไหลย้อนกลับ” ที่ผู้นำทางการเมืองและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองลุแก่อำนาจ ได้คืบจะเอาศอก พยายามผูกขาดอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจให้อยู่ในมือของชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม แทนที่เราจะเห็นการยกระดับทางการเมืองเดินไปข้างหน้าเพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่ เรากลับเจอกับการเมืองที่พยายามทำลายสิ่งใหม่เพื่อรักษาสิ่งเก่า
สภาวะทั้งหมดที่ผ่านมาทำให้เราตกอยู่ในสภาพการเมืองที่ไร้ความสามารถในการตอบสนองกับความคิดแบบใหม่ๆ ของประชาชน ไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการแบบใหม่ในยุคสมัยใหม่ของประชาชน นี่คือสถานการณ์ที่พวกตนในฐานะผู้แทนราษฎรจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม และเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งเพื่อนสมาชิกของพวกตนในพรรคร่วมฝ่ายค้านจะมาอภิปรายลงลึกในรายละเอียดแต่ละประเด็นต่อไปตลอดการอภิปรายสองวันนี้
@ยันทำงานซื่อสัตย์ - เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงว่า ผู้นำฝ่ายค้านพูดแรงพอสมควรไม่ว่าจะเป็นสิันหวัง ล้มเหลว ไม่โปร่งใส ถอยหลัง ไม่ปฏิรูป วกวน ปิดบัง ทำลาย แต่ก็มีอีกด้านนึงเหมือนกันนั่นก็คือมีหวัง สำเร็จ สิทธิ พัฒนา แทนที่จะเป็นการปฏิรูป ที่บอกว่าถอยหลังวกวน จริงๆก็เดินหน้าไป ที่บอกว่าปิดบังเราก็มีความโปร่งใส เชื่อว่าหลายอย่างที่รัฐบาลทำก็พยายามทำให้เป็นเรื่องของอนาคต เป็นเรื่องของแสงสว่างที่พี่น้องประชาชนจะได้เห็น แต่ถ้ายังมีข้อการขายกับเรื่องความปิดบังไม่โปร่งใสไม่สำเร็จถดถอย ก็สามารถบอกมา เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านพร้อมชี้แจง
"จากที่ทำงานมา 6 เดือนก็มีการอนุมัติงบประมาณไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเราแน่ใจครับว่าเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สงสัย เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วพอให้ความกระจ่างกับท่านสมาชิกที่ไม่เข้าใจ" นายกฯกล่าวช่วงหนึ่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า หลายปัญหาเช่นปัญหาหนี้สินที่บอกว่าไม่มีการจัดการ จริงๆรัฐบาลก็ได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาดูแลเรื่องหนี้นอกระบบ หนี้เกษตรกรก็มีการพักหนี้ไปแล้ว ไม่ได้เพิกเฉยตามที่ว่า เรื่องพลังงานก็ได้มีมาตรการดูแลเรื่องราคาน้ำมันเบนซิน ราคาค่าไฟ ราคาค่าน้ำมันดีเซลด้วย ตรงนี้ก็ไม่ได้เพิกเฉยกันนิ่งนอนใจ รัฐบาลจะหนักดีถึงเรื่องนี้
เรื่องยาเสพติดก็ทำงานกันชัดเจนมีคณะทำงานที่ประกอบด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ในช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ก็มีการจับยาบ้าได้มากกว่าปีก่อนนั้นทั้งปี ก็เป็นชอบที่สุดว่าเราได้ทำงานและกวดขันเรื่องนี้ การท่องเที่ยวที่ทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นก็ทำกันหลายอย่าง ทั้งนโยบายฟรีวีซ่าจีน ก่อนที่เดือนมีนาคมอาการจีนก็ให้วีซ่ากับประเทศไทย ทำให้นักธุรกิจนักท่องเที่ยวเดินทางไปมาหาสู่กันได้ดีขึ้น และจะมีการทำอื่นๆอีกด้วยซึ่งก็ต้องใช้เวลา
ส่วนรายได้ของเกษตรกรรัฐบาลตระหนักดีสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่านในเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของเกษตรกร ราคายางพาราก็ขึ้นมาจนเกือบจะ 100 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ราคาข้าวก็สูงและราคาพืชผลต่างๆก็กำลังจะดีขึ้น กระทรวงพาณิชย์ก็เดินทางไปเปิดตลาดหรือต่างประเทศบ่อยครั้ง มีการพูดคุยกับทูตพาณิชย์ กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนต้องทำอะไรบ้าง ต้องขายอะไรบ้าง
นายเศรษฐากล่าวอีกว่า เรื่อง PM2.5 ก็ได้ผลักดันร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดแล้ว รวมถึงบรรยากาศของฝุ่น PM2.5 ที่จังหวัดเชียงใหม่จุดที่เป็น hotspot ก็ลดลงจากปีที่แล้วเยอะมาก
@ทัวร์รอบโลก 10 ครั้ง เรียกตัวตนรัฐบาลในเวทีโลก
ส่วนที่กล่าวว่ารัฐบาลไม่มีหน้าตาในเวทีโลก ที่ผ่านมาก็ได้เดินทางไปต่างประเทศแล้ว 10 กว่าครั้ง ขอชี้แจงว่าส่วนมากเป็นการประชุมในเวทีสำคัญซึ่งจำเป็นต้องไป เป็นผู้นำที่เพิ่งเข้าสู่ตำแหน่งก็ต้องมีการพูดคุย เพื่อให้ประเทศไทยมีตัวตนในเวทีโลก เช่นการร่วมประชุม world economic forum ที่ผ่านมาไม่มีผู้นำของประเทศไทยเข้าร่วมประชุมยาวนานกว่า 12 ปีแล้ว การเจรจา FTA ก็มีผลสำเร็จแล้ว รวมถึงเรื่องอื่นๆที่กำลังทำก็ทยอยออกมา แต่ต้องใช้เวลา
"เราเพิ่งบริหารจัดการประเทศได้แค่ 7 เดือนเท่านั้นเอง ผมเชื่อว่าทุกท่านทำงานหนัก ท่านรัฐมนตรีทุกท่านก็มีความปรารถนาดีกับพี่น้องประชาชน ถ้าท่านมีข้อเสนอแนะอะไรดีๆ ก็ยินดีรับฟัง ถ้าเกิดมีข้อกล่าวหาอะไรก็ขอเหตุผลขอหลักฐานมา เรื่องของกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าประเทศไทยหลังจากที่มีการเลือกตั้งก็มีความก้าวหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่ดีขึ้น ยินดีรับฟังยินดีรับข้อเสนอแนะจากท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน และรัฐมนตรีทุกคนก็พร้อมที่จะให้ความกระจ่างกับท่านสมาชิกทุกท่านในทุกเรื่อง" นายเศรษฐากล่าว