
ตร.ชุดสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ยื่นความเป็นธรรม อสส. เร่งตรวจสอบคดีโดยเร็ว หลังกลุ่มผู้ต้องหาฟ้องร้อง-ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ที่ชุดทำสำนวน กว่า 10 เรื่อง ยกตัวอย่างเคส 'บิ๊กโจ๊ก' ร้องขอความเป็นธรรม-ศาลอาญาพิจารณาแล้วยืนยันการยื่นขอหมายค้นไม่ละเมิดอำนาจศาล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด พันตำรวจโท มนต์ชัย บุญเลิศ รองผู้กำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 ในฐานะพนักงานสืบสวนผู้กล่าวหาคดีเว็บการพนันออนไลน์มินนี่ที่มีนายตำรวจเข้าไปเกี่ยวพันได้ยื่นหนังสือ ร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด (อสส.) สรุปเนื้อหาว่าขอให้ อสส.ได้อำนวยความยุติธรรม กำชับกำกับการพิจารณาวินิจฉัยสำนวนในชั้นพนักงานอัยการตามระเบียบกฎหมายมิให้เนิ่นช้า
เพราะเป็นคดีสำคัญและเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและทำให้ความชอบธรรมปรากฎ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเป็นข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่โดยตรงในการรักษาและบังคับใช้กฎหมาย แต่กลับถูกดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาเสียเอง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายต่อชื่อเสียงของบรรดาเจ้าพนักงานในการยุติธรรม เรียกความเชื่อมั่นศรัทธาในกระบวนการยุดิธรรมและเพื่อประโยชน์ของทางราชการและอำนวยความยุติธรรมให้บังเกิดต่อไป
ในเอกสารร้องเรียนยังได้มีการบรรยายรายละเอียดคดีว่า พันตำรวจโทมนต์ชัย ในฐานะผู้ถูกกล่าวหานั้นได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 724/2566 ของกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทศโนโลยี 1 คดีไปยัง อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา142 โดยคดีนี้มีนายณัฐวัตร พิมพ์สวัสดิ์ เป็นผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก รวม 61 คน
อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ต้องหากลับได้มีการฟ้องร้อง ร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตั้งแต่เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นจับกุมกลุ่มผู้ต้องกับพวก จนกระทั่งคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในศาล โดยการร้องเรียนมีจำนวน 10 เรื่อง ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 พลตำรวจตรี นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ (ผู้ต้องหาที่ 23) กับพวกรวม 8 คน (ผู้ต้องหาที่ 12, ที่ 20, ที่ 21, ที่ 22, ที่ 24, ที่ 25 และที่ 26 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล ของร้อยตำรวจเอก ฤทธิ์ธาดา เครือสุข (พนักงานสอบสวนผู้รับคำร้องทุกข์ คดีอาญาที่ 468/2566 สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ) กรณียื่นคำร้องขอหมายจับ โดยอ้างว่าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมีเจตนาที่จะปกปิดข้อเท็จจริงหรือให้ช้อเท็จจริงอันเป็นเท็จต่อศาลผู้พิจารณาหมายจับและหมายค้นปกปิดยศข้าราชการตำรวจในการขอออกหมายจับและหมายค้น โดยประสงค์ที่จะกลั่นแกล้งผู้ร้องทั้งแปด อันเป็นเข้าข่ายการละเมิดอำนาจศาล และขอให้มีการเพิกถอนหมายจับ หมายค้น และหมายขังดังกล่าว
ซึ่งต่อมาในวันที่ 21 พ.ย.66 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วมีความเห็นว่า การร้องขอให้ออกหมายจับของผู้ร้อง มีพยานหลักฐานและรายละเอียดครบถ้วนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 66 แล้ว หมายจับที่ออกโดย ศาลอาญากรุงเทพใต้ จึงเป็นหมายที่ชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ยังไม่พอให้รับฟังว่าเป็นการประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 พิจารณามีคำสั่งยกคำร้อง
2. พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นคำร้องขอเป็นธรรมต่อศาลอาญาเพื่อพิจารณาว่า การยื่นคำร้องขอออกหมายค้นมีการปกปิดข้อเท็จจริงถึงความเป็นเจ้าบ้านต่อศาลหรือไม่ ศาลอาญาจึงได้มีหมายนัดถึง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (พลตำรวจตรีทินกร รังมาตย์) ผู้ยื่นคำร้องขอออกหมายค้นของศาลอาญา คำร้องที่ ค 416/2566 หมายค้นเลขที่ 416/2566 เพื่อนัดไต่สวนข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2566 โดยผลการพิจารณา ศาลอาญาได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า การยื่นคำร้องขอออกหมายค้นไม่ได้มีการปิดบังข้อเท็จจริงและไม่ได้มีการละเมิดอำนาจศาล
3. วันที่ 11ต.ค. 2566 นางสาวธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือมินนี่(ผู้ต้องหาที่ 2) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพลตำรวจโทไตรรงค์ ผิวพรรณ กับพวกรวม 12 คน เป็นจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 184/2566ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ราชการและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วพบว่ายังไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) จึงได้มีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องให้ถูกต้องเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2566
จากนั้นต่อมาในวันที่ 10 พ.ย. 2566 ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง และจำหน่ายคดีออกสารบบความ เป็นคดีหมายเลขแดงที่อท 241/2566
4. วันที่ 11 ต.ค. 2566 พันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ (ผู้ต้องหาที่ 21) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พันตำรวจเอก กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ กับพวกรวม 10คน เป็นจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 141/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ในฐานความผิด ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยกล่าวหาว่าการตรวจยึดทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 )
5. วันที่ 28 พ.ย.2566 พลตำรวจตรี นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ (ผู้ต้องหาที่ 23)เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พันตำรวจโทมนต์ชัย บุญเลิศ (ผู้กล่าวหา) พลตำรวจตรี ทินกร รังมาตย์ พันตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ สารบุญ และร้อยตำรวจเอกฤทธิ์ธาดา เครือสุข รวม 4 คน เป็นจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่อท203/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในฐานความผิดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยกล่าวหาว่า การร้องทุกข์กล่าวโทษ การยื่นคำร้องขอออกหมายจับหมายคัน การคัดค้านการขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาชั้นตรวจคำฟ้อง
6. มีการร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการเข้าถึงหรือเข้าใช้ข้อมูลส่วนบุคคล(ข้อมูลทะเบียนราษฎร์) ของร้อยตำรวจเอก ศิริวัฒน์ ต๊ะอาจ (พนักงานสืบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจ แห่งชาติที่ 593/2566) โดยกล่าวหาว่ามีการนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์และบัตรประจำตัวประชาชน ไปแผยแพร่ทำให้ได้รับความเสียหาย
7. มีการร้องเรียนร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการเข้าถึงหรือเข้าใช้ข้อมูลส่วนบุคคล(ข้อมูลทะเบียนราษฎร์) ของร้อยตำรวจเอก ศิริวัฒน์ ต๊ะอาจ (พนักงานสืบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566) โดยกล่าวหาว่ามีการนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์และบัตรประจำตัวประชาชน ไปเผยแพร่ทำให้ได้รับความเสียหาย
8. มีการร้องเรียนขอให้ตรวจสอบ สิบตำรวจเอก เกียรติพงศ์ ศรีสิงห์(ผู้ใตับังคับบัญชาโดยตรงของ พันตำรวจเอก จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย พนักงานสืบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวงแห่งชาติที่ 593/2566) โดยกล่าวหาว่ามีการนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์และบัตรประจำตัวประชาชน ไปเผยแพร่ทำให้ได้รับความเสียหาย
9. มีการร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการเข้าถึงหรือเข้าใช้ข้อมูลส่วนบุคคล(ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของสิบตำรวจเอกชัยชุมพล อัครวโรทัย (หนักงานสืบสวนตามคำสั่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566) โดยกล่าวหาว่ามีการนำข้อมูลทะเบียนราษฎร์และบัตรประจำตัวประชาชน ไปเผยแพร่ทำให้ได้รับความเสียหาย
10. เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2566 พันตำรวจเอกเขมรินทร์ พิศมัย (ผู้ต้องหาที่ 24) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พลตำรวจโทธนา ชูวงศ์ กับพวก รวม 244 คน เป็นจำเลย (กล่าวคือ คณะพนักงาน สืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ตร.ที่ 593/2566 ลงวันที่ 25 ต.ค. 2566 พร้อมด้วย พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และ พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 224/2566 ในฐานความผิดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำที่เข้าข่ายขัดขวางกระบวนการสำนวนการสวนสอบสวนและ ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหากับพวก ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหากับพวกได้อาศัยเหตุที่ได้มีการฟ้องร้องดังกล่าว มาเป็นข้ออ้างในการร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจที่เป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนว่าเป็นคู่กรณี หรือคู่ขัดแย้งพร้อมทั้งร้องขอให้มีการเปลี่ยนตัวคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ทั้งที่การดำเนินการของ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มิใช่คู่ขัดแย้ง ซึ่งเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
นอกจากนี้ พันตำรวจเอกภาคภูมิ พิศมัย (ผู้ต้องหาที่ 20) กับพวกรวม 8 คน ยังได้ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ทั้งที่เป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด และการให้คำแนะนำปรึกษาดังกล่าวก็เป็นไปเพื่อความละเอียดรอบคอบในการทำสำนวนการสอบสวนให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมายและยังเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่กลุ่มผู้ต้องหา
เหตุเพราะเป็นคดีที่มีการกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจกระทำความผิด คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน จึงได้เชิญหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมให้คำแนะนำปรึกษาด้วย ซึ่งนอกจากพนักงานอัยการแล้ว ยังมีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเข้าร่วมด้วย การที่กลุ่มผู้ต้องหาร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการพร้อมทั้งแนบภาพถ่ายในลักษณะเจตนาให้เข้าใจว่ามีผู้เฝ้าติดตาม และฟ้องร้องหรือร้องเรียนคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน จึงน่าเชื่อว่ากลุ่มผู้ต้องหากระทำการด้วยเจตนาไม่สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตนในทางคดี เนื่องจากคดีอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการ ย่อมกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการและคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ทำให้การสอบสวนเพิ่มเติมเป็นไปอย่างล่าช้าเพราะ เหตุที่ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ต่างคดี และการที่กลุ่มผู้ต้องหาบางรายซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจผู้มีความรู้ ด้านกฎหมาย กลับนำความมาฟ้องหรือร้องเรียนคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับความผิดอาญาโดยรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้น ทำให้ข้าราชการตำรวจที่ถูกร้องหรือร้องเรียนดังกล่าว เสื่อมเสียต่อชื่อเสียง มีมลทินมัวหมองเพราะต้องหาคดีอาญา และอาจเข้าข่ายเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา