ศาลเเขวงปทุมวันสั่งจำคุก 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี 'พิธา-ธนาธร-ช่อ-ปิยบุตร' พร้อมพวกรวม 8 จำเลย คดีแฟลชม็อบ ปี 62 ปรับ 20,200 บาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2567 ศาลแขวงปทุมวัน ถนนนครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 767/2563 ที่ พนักงานอัยการคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยรวม 8 คน กรณีชุมนุมแฟลชม็อบ บริเวณสกายวอล์กก(Sky walk) สี่แยกปทุมวัน หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2562 อาทิ 1.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 2.นายปิยบุตร แสงกนกกุล 3.น.ส.พรรณิการ์ วานิช 4.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 5.น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา 6.นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ 7.นายธนวัฒน์ วงค์ไชย และ 8.นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์สั่งจำคุก 8 คน คนละ 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี ส่วนความผิดตามข้อหาอาญาและความผิดพินัยไม่แจ้งการชุมนุม และไม่ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตรวม ปรับ 20,200 บาท
ในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ,ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวังฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานีรถไฟ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะอันเป็นที่ชุมนุม หรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึงจะคาดหมายได้ฯ, พ.ร.บ. ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ
ทั้งนี้ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทนายความ กล่าวภายหลังศาลพิพากษาว่า จำเลยยังติดใจในประเด็นเรื่องของระยะ 150 เมตรของเขตมาตรฐานว่าวัดจากจุดไหน ซึ่งพฤติการณ์ ดังกล่าวมีการ เทียบเคียงกับคดีอื่น ที่มีการชุมนุมสถานที่เดียวกัน จุดเดียวกัน ซึ่งศาลอาญากรุงเทพฯใต้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องข้อหาชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานในระยะ 150 เมตร ทั้งที่เป็นการชุมนุมจุดเดียว
อีกทั้งในประเด็นเรื่องของการไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลแขวงจังหวัดเชียงรายเคยมีคำวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเพียงแต่ต้องแจ้ง พนักงานสอบสวนให้ทราบเท่านั้น แต่หากมีการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียก็ถือว่าเจ้าหน้าที่รับรู้แล้ว ซึ่งคดีนี้ตำรวจรับรู้ ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2562 แล้วว่ามีการชุมนุม เนื่องจากจำเลยมีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะทนายคิดว่าจำเลยควรที่จะอุทธรณ์คดี เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะ เเต่ต้องการความจริง ตนเคารพคำพิพากษาศาลเเต่เคารพข้อเท็จจริงมากกว่า ส่วนอัยการจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักกว่าเดิมหรือไม่ต้องถามทางอัยการ
ส่วนนายพิธา กล่าวว่า จากการหารือกับจำเลยคนอื่น ว่า จะ ต้องยื่นอุทธรณ์คดีเพราะมีประเด็น ข้อเท็จจริงเรื่องของระยะของการชุมนุม ใกล้เขตพระราชฐาน ว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของ 150 เมตรว่าวัดจากจุดไหน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่นๆ พร้อมระบุว่าการที่ศาลตัดสินในลักษณะนี้ ไม่ทำให้พระก้าวไกลเสียเครดิตทางการเมือง เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจในข้อเท็จจริง ตนเองอยากโฟกัสเรื่องงานเพราะสัปดาห์หน้าจะไปสภาอภิปรายเรื่องของปัญหาการประมง
ทางด้าน นายปิยบุตร คดีนี้มีหลายประเด็นในการยื่นอุทธรณ์ต่อ พร้อมเทียบเคียง กับคดีปิดสนามบิน มีผลกระทบจำนวนมาก และเป็นความผิดชัดเจนแต่ศาลพิจารณาสั่งปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนคดีการชุมนุมคดีนี้ เป็นการชุมนุมใช้ระยะเวลาไม่นานหลังเลิกชุมนุมก็มีการช่วยกันเก็บขยะ ศาลใช้ระยะเวลาอ่านคำพิพากษานานกว่าการชุมนุมดังกล่าวด้วยซ้ำสุดท้าย ถูกจำคุกถึง 4 เดือนปรับ 20,200 บาท เป็นเหตุผลที่จะต้องอุทธรณ์คดีเพื่อให้ศาลสูงพิจารณา ส่วนเรื่องความไม่เหมาะสมของกฎหมายก็อยากจะฝากให้พรรคก้าวไกลไปพิจารณาแก้ไขในสภาต่อไป
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานเพิ่มเติมว่าสำหรับเอกสารข่าวแจกของศาลแขวงปทุมวัน ระบุว่า
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลแขวงปทุมวัน อ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.767/2563 คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.771/2563 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.776/2563
ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด
โจทก์ นางสาวณัฏฐาหรือโบว์ มหัทธนา จำเลยที่ 1 นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวรักษ์ จำเลยที่ 2 นายธนวัฒน์ วงค์ไชย จำเลยที่ 3 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จำเลยที่ 4 นายปิยบุตร แสงกนกกุล จำเลยที่ 5 นางสาวพรรณิการ์ วานิช จำเลยที่ 6 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จำเลยที่ 7 และนายไพรัฏธุโชติก์ จันทรขจร จำเลยที่ 8
โดยคดีทั้งสามสำนวนศาลสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียว โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2562 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ทางเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) บัญชีของจำเลยแต่ละคน ซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ มีข้อความเชิญชวนให้เข้าร่วมการชุมนุมที่บริเวณสกายวอล์ค แยกปทุมวัน ในวันที่ 14 ธันวาคม 2562 เวลา 17.00 นาฬิกา โดยจำเลยทั้งแปดร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ ไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง จำเลยทั้งแปดซี่งเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไปร่วมชุมนุมสาธารณะที่บริเวณสกายวอล์ค ซึ่งการจัดการชุมนุมดังกล่าวเป็นการกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการใช้บริการสถานีรถฟฟ้า หรือสถานีขนส่งสาธารณะ เวลาประมาณ 17.00 นาฬิกา จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ได้ผลัดกันขึ้นปราศรัยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบริหารประเทศของรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ในรัศมี 15 เมตร จากพระราชวังสระปทุม อันเป็นพระราชวังที่
ประทับหรือพำนักของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป ซึ่งจะกระทำมิได้ตามกฎหมาย และจำเลยทั้งแปดซึ่งเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่ดูแลรับผิดชอบการชุมนุมไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะตลอดจนดูแลรับผิดชอบให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามหน้าที่ผู้ชุมนุม และก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะอันเป็นที่ชุมนุมหรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งแปดที่เชิญชวนหรือนัดให้ผู้อื่นมาร่วมชุมนุมแม้ต่างคนต่างเชิญชวนหรือนัดผู้อื่นโดยผ่านทางบัญชีเฟซบุ๊ก (Facebook และทวิตเตอร์ (Twitter) ของตนแต่พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงถึงเจตนาของจำเลยทั้งแปดว่า เป็นผู้ประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะและร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุม จำเลยทั้งแปดจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อหัวหน้าสถานีตำรวจแห่งท้องที่ที่มีการชุมนุมสาธารณะก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และจำเลยทั้งแปดต้องตรวจสอบว่าสถานที่ใดสามารถจัดการชุมนุมสาธารณะได้โดยไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย และเป็นสถานที่ที่เหมาะสม
แม้จะฟังได้ว่าไม่ได้มีการปิดกั้นหรือขัดขวางการสัญจรของประชาชนผู้ที่ใช้ทางสาธารณะและทางเข้าออกสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ย่อมคาดหมายได้ว่าจะต้องมีประชาชนมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก ย่อมเล็งเห็นได้ว่าโดยสภาพของพื้นที่ดังกล่าวย่อมกระทบต่อสัญจรของประชาชนและกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการใช้บริการสถานีรถไฟฟ้า จำเลยทั้งแปดไม่สามารถดูแลรับผิดชอบการชุมนุมไม่ให้เกิดการขัดขวางเข้าออกต่อประชาชนที่จะใช้ทางเดินสาธารณะ ซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้า จุดเกิดเหตุบริเวณที่มีการปราศรัยและบริเวณที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมอยู่ในรัศมี 150 เมตร จากพระราชวังสระปทุม
จำเลยทั้งแปดในฐานะที่เป็นแกนนำเป็นผู้จัดการชุมนุมปรากฏตัวเข้าร่วมชุมนุมและอยู่บริเวณดังกล่าวตลอดเวลา แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 8 จะไม่ได้ขึ้นปราศรัยร่วมกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 พฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ตั้งแต่เชิญชวนหรือนัดให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งแปดจึงเป็นตัวการ่วมในการจัดการชุมนุมสาธารณะและจัดการปราศรัยโดยใช้โทรโข่งและเครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยทั้งแปดต้องตระหนักถึงหน้าที่ของผู้ชุมนุมตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายจำเลยทั้งแปดเพิกเฉยไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อผู้รับแจ้งตามกฎหมายก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และไม่ขอรับอนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง และถือว่าจำเลยทั้งแปดทราบดีว่า บริเวณสกายวอล์คแยกปทุมวันเป็นพื้นที่อยู่ในระยะรัศมี 150 เมตร จากพระราชวังสระปทุมซึ่งการชุมนุมสาธารณะจะกระทำไม่ได้
ตามกฎหมาย จำเลยทั้งแปดจงใจไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งตามกฎหมาย โดยมีเจตนาจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะขึ้นในบริเวณดังกล่าว เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และผลแห่งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อย หรือความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะก่อให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชน ไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมจนก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะหรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึงคาดหมายได้ว่าเป็นไปตามเหตุอันควร จึงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งแปดกระทำผิดฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระราชวังสระปทุม
ซึ่งเป็นพระราชวังของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไปประทับหรือพำนัก ฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะกีดขวางทางเข้าออก หรือรบกวนการใช้บริการสถานีรถไฟฟ้า ฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ ไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ตลอดจนไม่ดูแลและรับผิดชอบให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามหน้าที่ผู้ชุมนุมสาธารณะและฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ ก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะอันเป็นที่ชุมนุมหรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึงคาดหมายได้ว่าเป็นไปตามเหตุอันควร และขัดขวางหรือกระทำการใดๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้ดูแลการชุมนุมสาธารณะในการคุ้มครองความสะดวกของประชาชนในการใช้ที่สาธารณะและการดูแลการชุมนุมสาธารณะนั้น กับฐานใช้โทรโข่งไมค์ลอย หรือไมโครโฟนไร้สายที่เชื่อมต่อกับเครื่องขยายเสียงและลำโพงอันเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่หรือไฟฉาย อันเป็นการใช้เครื่องขยายเสียงโฆษณาหรือแสดงความคิดเห็นแก่ประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต
พิพากษาว่า จำเลยทั้งแปดมีความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 7วรรคหนึ่ง, 8 (2), 17 (7), 27, 31 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งแปดเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 4 เดือน และปรับคนละ 11,200 บาท เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติสติปัญญา และสถานะทางสังคม จำเลยทั้งแปดเป็นผู้มีชื่อเสียง มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก
ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งแปดเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ทั้งความผิดที่กระทำสืบเนื่องมาจากต้องการแสดงออกถึงความรู้สึกและความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องอาชญากรรมร้ายแรง กรณีมีเหตุอันควรปรานีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยทั้งแปดได้กลับตัวและเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้สิทธิและเสรีภาพภายใต้ขอบเขตตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และจำเลยทั้งแปดมีความผิดทางพินัยตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง, 28 พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 9 วรรคหนึ่ง ฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ปรับเป็นพินัยคนละ 10,200 บาท
ฐานร่วมกันโฆษณาหรือแสดงความคิดเห็นแก่ประชาชนโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับเป็นพินัยคนละ 200 บาท รวมค่าปรับเป็นพินัย คนละ 10,200 บาท หากไม่ชำระค่าปรับทางพินัยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาให้จัดการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มาตรา 30, 31 ข้อหาความผิดทางพินัยอื่นให้ระงับการปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มาตรา 16 (1) ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 ต่อจากโทษของจำเลยดังกล่าวในแต่ละคดีตามฟ้องนั้น เมื่อไม่
ปรากฏว่าคดีที่ขอให้นับโทษต่อศาลในแต่ละคดีได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่ ให้ยกคำขอให้นับโทษต่อของโจทก์.