จับตาผลพวงคดี 'อุปกิต' หลังศาลอาญายกฟ้อง 'ทุน มินหลัด' นักธุรกิจเมียนมา-ลูกเขย-พวก' สมคบค้ายาเสพติด เผยโดนฟ้องข้อหาเดียวกันเป๊ะ แถมเจ้าตัวยังไม่ได้เกี่ยวข้องโอนเงินโพยก๊วนด้วยเนื่องจากยกกิจการให้บุคคลอื่นก่อนมาเล่นการเมือง
จากกรณี ศาลอาญา มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีดำ 1249/2565 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายทุน มินหลัด (Mr.TUN MIN LATT) นักธุรกิจชาวเมียนมา จำเลยที่ 1 นายดีน ยัง จุลธุระ ลูกเขยนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา จำเลยที่ 2 น.ส.น้ำหอม เนตรตระกูล จำเลยที่ 3 น.ส.ปิยะดา คำต๊ะ จำเลยที่ 4 และบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด โดยนายทุน มิน หลัด และ น.ส.น้ำหอม ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ จำเลยที่ 5 ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนกันกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมีลักษณะเป็นความผิดร้ายแรง องค์กรอาชญากรรม โดยศาลฯ พิเคราะห์แล้วไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันทำผิด เกี่ยวกับการสมคบค้ายาเสพติด และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พยานหลักฐานของจำเลยสามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ทั้งหมด พิพากษายกฟ้อง
แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เปิดเผยสำนักข่าวอิศราว่า เกี่ยวกับคดีนี้ทางพนักงานอัยการคดียาเสพติด 9 จะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้พิจารณาว่าควรอุทธรณ์ไหม ซึ่งอัยการสูงสุดสามารถที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ แต่ข้อสังเกตคือคดีนี้ในมุมนักกฎหมายถือว่ายกขาดลอย
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับคดีความในส่วนของ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ที่มีการยื่นเรื่องฟ้องไปก่อนหน้านี้อีกสำนวน เป็นข้อกล่าวหาเดียวกับจำเลยทั้ง 5 ราย ที่ศาลอาญา พิพากษายกฟ้องในวันนี้ สาเหตุที่ฟ้องรวมกันไปไม่ได้ เนื่องจากช่วงเวลาไม่เท่ากัน เพราะช่วงเวลาที่ผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ถูกฝากขังไม่ได้ประกันตัวต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลา 84 วัน แต่กรณีนายอุปกิต สว. ติดเงื่อนไขหลายเรื่องและติดพยานหลักฐานที่จะเกี่ยวพันเลยแยกเป็นอีกสำนวนหนึ่งแต่เป็นลักษณะการกระทำความผิดเดียวกัน
“คดีในสำนวน สว.อุปกิต ท่านนารี (น.ส.นารี ตัณฑเสถียร) ที่ดำรงตำแหน่ง อสส.ในขณะนั้นสั่งฟ้องครบทุกข้อหา แต่ตอนที่ชุดสอบสวนเสนอไปไม่มีข้อหาสมคบกันค้ายาเสพติด มีแต่เรื่องฟอกเงินกับเรื่ององค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นอำนาจของ อสส.ในการพิจารณาสั่งถ้าเห็นว่า มีหลักฐานเพียงพอ”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า คดีนี้ศาลฯ มองว่าไม่เกี่ยวกับยาเสพติดเป็นเรื่องการโอนเงินซึ่งภาษาเค้าเรียกว่าโพยก๊วน เพราะเป็นการโอนเงินแถวชายแดนมักจะใช้โต๊ะเงินที่โอนเงินข้ามไปมาระหว่างไทยกับพม่าเผอิญเงินที่โอนไปโอนมานี้ดันไปใช้บัญชียาเสพติดจึงทำให้มีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ว่าเงินที่โอนไม่ได้เข้าบัญชีใครแต่ให้ไปจ่ายค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าแม่สาย
“ศาลในคดีนี้ยังไปพิจารณาถึงตำรวจที่ทำคดีว่าไม่ดำเนินคดีกับบริษัทอื่นๆ ที่รับการโอนเงินด้วยเช่น บริษัทเอกชนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่มุ่งมาแค่บริษัทอัลลัวร์ กรุ๊ป แห่งเดียว เป็นการคาดคะเนเรื่องหาว่าค้ายาเสพติด ขณะที่สว.อุปกิต ไม่ได้เป็นคนโอนเงิน คนโอนเงินก็คือนายทุนพม่า ศาลยังยกฟ้อง สว.อุปกิต ตอนนั้นโอนกิจการบริษัทอัลลัวร์ กรุ๊ป ให้ลูกเขยไปแล้ว เพราะตัวเองมาเล่นการเมืองเป็น สว.” แหล่งข่าวระบุ