‘กรมราง’ อัปเดตเรื่องระบบราง ชี้รถไฟฟ้าสายสีแดง-ม่วงที่เก็บ 20 บ.ตลอดสายบ ผู้โดยสารเพิ่ม ชดชเยรายได้ลดลง เตรียมหารือ ‘คมนาคม’ ดัน ‘สายสีเหลือง-ชมพู’ เก็บ 20 บ.ในปีนี้ ก่อนแนะนำรัฐบาลควรมีบทบาทลงทุนทำระบบราง 100% เหมือนที่ลงทุนสร้างถนนเองหมด ก่อนเล็งรื้อใหม่ พ.ร.บ.กรมราง เสนอคมนาคมก.พ.นี้ ด้านสภาผู้บริโภคแนะ ค่าโดยสารไม่ควรเกิน 5-10% ของรายได้ประชาชน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 18 มกราคม 2567 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า โครงการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง มีการสัมมนารับฟังความคิดเห็น พร้อมนำเสนอข้อสรุปการศึกษาครั้งสุดท้าย โดยจะสรุปผลการศึกษาภายในเดือนก.พ. 2567 และนำเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อจัดทำหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้าและหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ร่างข้อกำหนด กฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบรางต่อไป
@ปลื้ม แดง-ม่วง ผู้โดยสารเพิ่ม ชดเชยลดลง
ทั้งนี้ เรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้านั้น ปัจจุบันรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคม มีนโยบายลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งทางรางมากขึ้น โดยปรับลดอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 นำร่อง 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) (สายสีม่วง) ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และ โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน
โดยจำนวนผู้โดยสารก่อนเริ่มมาตรการเปรียบเทียบหลังเก็บ 20 บาทตลอดสาย พบว่า มีค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสาร รถไฟชานเมืองสายสีแดง ในช่วงวันทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.01 และช่วงวันหยุดมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.85 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสารระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงวันทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.17 และช่วงวันหยุดมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.41 ซึ่งจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นหลังเก็บ 20 บาทตลอดสาย นั้น สูงกว่าคาดการณ์ และทำให้ประเมินตัวเลขที่รัฐต้องชดเชยรายได้ของทั้ง 2 สายที่ประมาณ 300 ล้านบาท/ ปี ก็จะลดลงไปด้วย
โดยกรมรางจะจัดเก็บข้อมูล เพื่อรายงานต่อกระทรวงคมนาคม ตัดสินใจก่อน วันที่ 16 ต.ค. 2567 ที่จะครบ 1 ปี เพื่อให้นโยบายพิจารณาว่าจะใช้มาตรการ 20 บาทต่อไปหรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่าในรอบปีต่อไป การชดเชยส่วนต่างรายได้จะลดลงจาก 300 ล้านบาท/ปี ตามสัดส่วนปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่งผ่านมา 3 เดือน หาก อีก 9 เดือน มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เช่น 25% ค่าชดเชยจะลดลง 25% เป็นต้น ซึ่งกรมรางจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาปรับปรุงระบบฟีดเดอร์เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกและกระตุ้นให้ประชาชนมาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มคาดว่าจะเห็นผลในอีก 3 เดือนข้างหน้า
@เตรียมหารือ ‘คมนาคม’ เข็น ‘ชมพูเหลือง’ เก็บ 20 บาทตลอดสาย
อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ยอมรับว่าการชดเชยส่วนต่างรายได้ของสายสีแดง ต้องใช้งบประมาณ แต่สายสีม่วงนั้น ไม่ได้ใช้งบประมาณ โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ใช้ส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มาชดเชย
ขณะที่กรมรางมีแนวคิดในการขยายมาตรการ ค่าโดยสาร 20 บาท กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่จำนวนผู้โดยสารอยู่ในระดับ 4-5 หมื่นคน ไม่มากเกินไป โดยประเมินว่า รฟม.ยังสามารถนำรายได้ส่วนแบ่งจากสัมปทานสายสีน้ำเงิน มาชดเชยให้ สีเหลืองและสีชมพูได้ ซึ่งจะมีการหารือแนวทางกับกระทรวงคมนาคมในสัปดาห์หน้า ส่วน สายสีน้ำเงินมีผู้โดยสาร เฉลี่ยกว่า 3 แสนคน/วัน สายสีเขียวมี 7-8 แสนคน/วัน ผู้โดยสารค่อนข้างมาก ดังนั้นการชดเชยอาจจะทำลำบาก
@รัฐควรลงทุนระบบรางเอง เหมือนลงทุนทำถนน
นายพิเชฐกล่าวว่า ที่ผ่านมา ระบบรางมีการลงทุนแบบ PPP (เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ) ทั้งแบบรัฐลงทุนโครงสร้างโยธา 70% เอกชนลงทุนระบบและเดินรถซ่อมบำรุง30% หรือให้เอกชนลงทุน 100% ซึ่งเอกชนจึงต้องบวกค่าดำเนินการและซ่อมบำรุงไปที่ค่าโดยสาร ในขณะที่การขนส่งทางบก รัฐเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ก่อสร้างถนน ซ่อมบำรุง รวมไปถึงอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอีก โดยช่วง 18 เดือน รัฐอุ้มดีเซลไปเป็นเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ดังนั้น ในระยะยาว การศึกษาของกรมรางจึงเห็นว่า ในโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆจากนี้ รัฐควรลงทุนระบบราง 100% เหมือนลงทุนถนน ที่รัฐจัดสรรงบประมาณก่อสร้างถนนและซ่อมบำรุง โดยควรจะเป็นรูปแบบ PPP Gross Cost คือ รัฐลงทุนหมด 100% แล้วจ้างเอกชนมาเดินรถ ซึ่งจะทำให้รัฐกำหนดค่าโดยสารเท่าไรก็ได้ โดยหลังพ.ร.บ.ขนส่งทางราง...มีผลบังคบใช้ กรมรางจะเสนอคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณา แต่ประเด็นคือ พอบอกให้รัฐลงทุนระบบราง ขนส่งมวลชนมีคำถาม แต่เวลารัฐจัดงบก่อสร้างถนนหรืออุ้มราคาน้ำมันดีเซลกลับไม่มีคำถาม เรื่องภาระงบประมาณ
@รื้อ กม.กรมราง หั่น 15 มาตรา ชงคมนาคม ก.พ.นี้
นายพิเชฐกล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่กทม.และปริมณฑล พบว่า ประชาชนมียอมรับที่จะจ่ายค่าโดยสารระบบรางในอัตราสูงสุดไม่เกิน 42 บาทต่อการเดินทาง 1 ครั้ง ไม่ว่าจะต่อรถไฟฟ้ากี่สาย โดยมี ระยะทางเฉลี่ยในการเดินทางต่อครั้งที่ประมาณ 13 กม. และพบว่า อัตราค่าโดยสารระบบรางในต่างจังหวัด ควรถูกกว่าในกทม.และปริมณฑลเพราะประชาชนมีศักยภาพในการจ่ายค่าโดยสารน้อยกว่า
โดยการจัดทำอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้าและหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง จะ เป็นหนึ่งในหมวดของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ขนส่งทางราง พ.ศ. ....ที่ปัจจุบันพ.ร.บ.ขนส่งทางราง พ.ศ. ....นั้นอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความเห็น ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2567 โดยมีการปรับปรุงตัดหมวดที่ 2 ส่วนที่ 2 การเสนอโครงการการขนส่งทางราง ซึ่งเห็นว่า มีกฎหมายอื่นแล้ว โดยทำให้เหลือ 150 มาตรา จากเดิมมี 165 มาตรา โดยหลังปิดรับฟังความเห็น กรมฯจะทำบทวิเคราะห์ความเห็น และนำเสนอกระทรวงคมนาคมภายในเดือนก.พ. 2567 เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบจากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 1 ต่อไป คาดว่าจะบังคับใช้ได้ในปลายปี 2567
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค
@สภาองค์กรผู้บริโภคแนะค่าโดยสาร 5-10% ของรายได้ เหมาะสมที่สุด
ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวในเวที เสวนา “โอกาสในการเข้าถึงการพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญ จากนโยบายค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชนทางราง” ว่า รัฐควรกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่เกิน 5-10% ของรายได้ขั้นต่ำและทำเป็นกลไกอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหลักสากลที่หลายประเทศใช้อีกทั้งไม่ต้องมีปัญหากับผู้ให้บริการ โดยไม่มีค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน มีเส้นทางครอบคลุมนอกจากนี้ ต้องให้ประชาชนเข้าถึงระบบได้ใน 15 นาที หรือ 500 เมตร และมีความถี่ไม่เกิน 15 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วนและ ไม่เกิน 30 นาทีในช่วงนอกเร่งด่วน
ทั้งนี้ภาคประชาชนสนับสนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท โดย รัฐบาลทั่วโลกเป็นผู้ลงทุนขนส่งสาธารณะและไม่มีประเทศไหนที่ประชาชนจ่ายค่าโดยสาร 100% โดยรัฐไม่อุดหนุน เพราะระบบขนส่งมวลชน จะเป็นคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดปัญหา PM2.5 ซึ่งในปี 2566 คนไทยป่วยไปโรงพยาบาลด้วยปัญหา PM2.5 ถึง 1.739 ล้านคน ซึ่วคิดเป็นค่าใช้จ่ายสาธารณสุบ 1.20 หมื่นล้านบาท ประชาชนเสียค่าเดินทางไปโรงพยาบาลและขาดรายได้ ราว 3,000-5,000 ล้านบาท
สำหรับผลการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้าและหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ประกอบด้วย 1. อัตราค่าโดยสารระหว่างเมือง คำนวณอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง แบ่งได้ดังนี้ ชั้น 1 : ระยะทาง 100 กม. แรก ราคา 1.165 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง 101 – 200 กม. ราคา 1.066 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง 201 – 300 กม. ราคา 0.981 บาทต่อ กม. ,ระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 0.924 บาทต่อ กม. ทั้งนี้ การขึ้นค่าโดยสารจะไม่เกินร้อยละ 25 จากความพึงพอใจที่จะจ่าย
ชั้น 2 : ระยะทาง 100 กม. แรก ราคา 0.610 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง 101 – 200 กม. ราคา 0.525 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง 201 – 300 กม. ราคา 0.469 บาทต่อ กม. ,ระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 0.420 บาทต่อ กม. ,ทั้งนี้ การขึ้นค่าโดยสารจะไม่เกินร้อยละ 25 จากความพึงพอใจที่จะจ่าย และขึ้นค่าโดยสารเฉพาะตู้นอน
ชั้น 3 : ระยะทาง 100 กม. แรก ราคา 0.269 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง 101 – 200 กม. ราคา 0.255 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง 201 – 300 กม. ราคา 0.200 บาทต่อ กม. ,ระยะทาง มากกว่า 300 กม. ราคา 0.181 บาทต่อ กม.
2. อัตราค่าโดยสารเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณตาม MRT Standardization (MRT STD) ทั้งค่าแรกเข้าและอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง (บาท/กม.) การคำนวณค่าโดยสารขั้นสูง คือ ค่าแรกเข้า + (อัตราค่าโดยสาร (บาท/กม.) x ระยะทางเปอร์เซนไทล์ที่ 85) และการขึ้นค่าโดยสารจะใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค แบบไม่รวมอาหารละเครื่องดื่ม (CPI NFB) กรุงเทพฯ
3. อัตราค่าโดยสารในเมือง ภูมิภาค 7 จังหวัด มีหลักเกณฑ์การคำนวณตาม MRT STD โดยใช้ CPI NFB รายจังหวัด คือ ค่าแรกเข้า (10.79 – 12.17 บาท) และอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง (บาท/กม.) (1.94 – 2.19 บาทต่อ กม.) ทั้งนี้ มีหลักเกณฑ์การคำนวณค่าโดยสารขั้นสูง คือ ค่าแรกเข้า + (อัตราค่าโดยสาร (บาท/กม.) x ระยะทางเปอร์เซนไทล์ที่ 85)
4. อัตราค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูง เมื่อพิจารณาต้นทุนและปัจจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว จะกำหนดค่าแรกเข้า (95 บาท) และอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง (บาท/กม.) โดยระยะทาง 300 กม. แรก ราคา 1.97 บาทต่อ กม. และระยะทางมากกว่า 300 กม. ราคา 1.70 บาทต่อ กม. ทั้งนี้ การขึ้นค่าโดยสารจะใช้ CPI NFB ทั่วประเทศ