'ชัยชนะ เดชเดโช' ปธ.กมธ.ตำรวจ สส.ตรวจโรงพยาบาลตำรวจ ขึ้นชั้น 14 พบ จนท.ชุดเฝ้าทักษิณ แต่ไม่ได้เข้าพบทักษิณเพราะเป็นเรื่อง พ.ร.บ.ส่วนบุคคล เผยตอนนี้มีแค่ ‘ทักษิณ’เป็นผู้ต้องขังคนเดียวเท่านั้นที่ค้างคืนที่ รพ.ตำรวจ ย้ำชัด รพ.ตำรวจชี้แจงชัดเจนแล้ว แต่ตอนนี้เป็นหน้าที่กรมราชทัณฑ์ต้องชี้แจงปมทักษิณไปรักษาตัว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่โรงพยาบาลตำรวจ ถนนพระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร เข้าศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลตำรวจปมเรื่องการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร
นายชัยชนะ กล่าวว่า มาตามกรอบกฎหมาย มาตรา129 ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สังคมสงสัยซึ่งก่อนทำหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะเป็นผู้ดูแลโรงพยาบาลตำรวจและทำหนังสือถึงกรมราชทัณฑ์เนื่องจากเป็นเจ้าของไข้เป็นหนังสือเกี่ยวกับขั้นตอนในการรักษาและการปฏิบัติในการรักษาให้มีการชี้แจงว่านายทักษิณ รักษาตัวถึงขั้นตอนไหนและรักษาตัวอยู่ชั้น 14 จริงหรือไม่ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ก็เคยชี้แจงแล้วว่า ก่อนหน้าเคยมีผู้ต้องขังรักษาตัวเกิน 120 วันอยู่ ทั้งนี้อยากไขข้อสงสัยของสังคมหากทางโรงพยาบาลตำรวจและกรมราชทัณฑ์ไม่อยากเป็นจำเลยของสังคมก็ต้องตอบข้อสงสัยนี้ให้ได้ ผลการประชุมเป็นเช่นไรจะแจ้งให้ทางสื่อมวลชนรับทราบอีกครั้ง
ต่อมานายชัยชนะ ออกมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำรวจขึ้นรถกอล์ฟออกจากอาคารศรียานนท์ เดินทางไปยังอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โดยที่สื่อมวลชนไม่สามารถติดตามเข้าไปได้คาดว่าขึ้นไปดูอาการป่วยนายทักษิณ
ต่อมานายชัยชนะ กล่าวภายหลังกลับจากอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ว่า หลังจากที่พูดคุยกับทางโรงพยาบาลตำรวจโดยมี พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ สบ.7 โรงพยาบาลตำรวจจึงทราบว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขังที่มารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจที่ค้างคืนนั้นมีกรณีเดียวคือนายทักษิณ ที่เหลือเป็นเพียงผู้ต้องขังที่มีอาการป่วย แต่เป็นการรักษาแบบเช้าเย็นกลับ ตนหารือตามกรอบระเบียบของทางโรงบาลตำรวจจึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังชั้น 14 อาคารดังกล่าวเพื่อไปดูขั้นตอนการคุมขังโดยคณะกรรมาธิการการตำรวจไม่ได้เข้าไปภายในชั้นทางเดินชั้น14 หรือห้องเเต่อย่างใดเพียงเเค่อยู่ในจุดบริเวณหน้าห้องเพียงเท่านั้นพบว่า มีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ปฎิบัติหน้าที่อยู่ 2 นายร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ปทุมวัน 3นายและตำรวจสันติบาล 3 นาย รวมเป็น 8 นายแต่ประจำอยู่จุดไหนนั้นไม่สามารถบอกได้
หลังจากนั้นจึงลงมาชั้น 7 เพื่อมาดูขั้นตอนการปฏิบัติงานการรักษาผู้ป่วยที่เป็นผู้ต้องขังที่มีโรคต้อกระจกว่าเป็นอย่างไร โดยมีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ดูแลเช่นเดียวกัน จึงจะเห็นได้ว่ากรมราชทัณฑ์นั้นปฏิบัติกับนักโทษที่มารักษาตัวอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนว่าในตอนที่ขึ้นไปชั้น 14 พบนายทักษิณหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของพ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะอนุญาตให้เยี่ยมหรือไม่ให้เยี่ยม แต่ทางคณะกรรมาธิการการตำรวจไม่ได้เจาะจงมาเยี่ยมใครเป็นพิเศษเพียงแต่มาเพื่อดูว่าขั้นตอนในการปฏิบัติรักษาทันเท่าเทียมกันหรือไม่
นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า รับข้อมูลมาว่าประตูห้องพักรักษาตัวนายทักษิณ ที่อยู่บนชั้น 14 นั้นไม่ได้มีการล็อกใดใดทั้งสิ้นเจ้าหน้าที่สามารถเปิดเข้าออกได้ตลอดเวลา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางคณะกรรมาธิการการตำรวจ มีความสงสัยหรือไม่ว่าอาการป่วยนายทักษิณ นั้นจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่ นายชัยชนะ กล่าวว่าทางคณะกรรมาธิการการตำรวจ ไม่ขอก้าวล่วงการรักษาของแพทย์เพียงแต่มาตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยหลังจากนี้ต้องกลับไปถามอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่า เอกสารที่ทางคณะกรรมาธิการการตำรวจขอไป
1.เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลผู้คุมคนใดที่มาเข้าเวรที่นี่ และปรับเปลี่ยนเวรอย่างไร
2.ส่วนค่ารักษาพยาบาล ที่แจ้งว่าใช้สิทธิ์สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่า ถ้าเกินสิทธิ์สามารถใช้เงินส่วนตัวได้นั้นใช้ระเบียบข้อไหน
3.สำเนาใบ รท.101ที่ขอไปนั้นทำไว้หรือไม่ ทางคณะกรรมาธิการการตำรวจจะต้องไปตามเอกสารจากกรมราชทัณฑ์ ซึ่งต้องขอขอบคุณทางโรงพยาบาลตำรวจที่่ให้ทางคณะกรรมาธิการไปตรวจสอบยังชั้น 14 จึงไม่มีข้อข้องใจกับทางโรงพยาบาลตำรวจแล้วยังเหลือเพียงแต่ข้อข้องใจกับทางกรมราชทัณฑ์เกี่ยวกับเอกสารที่ทางคณะกรรมาธิการขอไปเพียงเท่านั้น
นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า นายทักษิณนั้นไม่ได้ผิดอะไรที่รักษาตัวเพียงแต่กรมราชทัณฑ์จะต้องออกมาชี้แจงกับสังคมอย่างชัดเจน หากเมื่อใดที่ชี้แจงไม่ชัดเจนจำเลยของสังคมก็คือกรมราชทัณฑ์นั่นเองส่วนตนยอมรับว่าสิ่งที่โรงพยาบาลตำรวจทำในวันนี้ถูกต้องที่สุด หน้าที่ในการยืนยันว่า นายทักษิณ นั้นอยู่หรือไม่อยู่โรงพยาบาลตำรวจนั้นไม่ใช่หน้าที่ของตน แต่เป็นของกรมราชทัณฑ์