‘ครม.’ รับลูก ‘รมว.พลังงาน’ สั่งเพิ่มแนวทางที่ 3 หาช่องลดราคาลง ‘เบนซิน’2.5 บาท/ลิตร ด้าน ‘พีระพันธุ์’ ตั้ง ‘คณะกรรมการฯ’ รื้อโครงสร้างราคาน้ำมัน นัดประชุม 18 ต.ค.นี้
........................................
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในการประชุม ครม. วันนี้ ได้มีการรายงานมาตรการเกี่ยวกับน้ำมันเบนซิน ซึ่งก่อนหน้านี้ ครม. สั่งการให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ไปดูมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือภาคส่วนที่เปราะบาง ซึ่งครั้งนี้ได้เสนอมา 2 แนวทาง แต่ ครม.ยังไม่เห็นชอบกับทั้ง 2 แนวทาง จึงให้ไปหาแนวทางที่ 3 มา คาดว่าจะนำเข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า
ด้าน นายพีระพันธุ์ ระบุว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (16 ต.ค.) ก่อนการประชุม ครม. หน่วยงานเกี่ยวข้องในส่วนของกระทรวงพลังงาน ได้รายงานเรื่องมาตรการลดราคาน้ำมันเบนซินให้ตนรับทราบ ซึ่งได้เสนอมา 2 มาตรการ ได้แก่ มาตรการแรก คือ ช่วยเหลือกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีค่าสนับสนุน 95 ล้านบาท และมาตรการที่สอง คือ การขยายความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ ไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มผู้ประกอบการในกรุงเทพ ซึ่งใช้งบสนับสนุน 4,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของหน่วยงานดังกล่าว เพราะนโยบายของตนและนโยบายของรัฐบาล ต้องการให้ลดราคาน้ำมันในภาพรวม ไม่ใช่ช่วยเหลือเป็นกลุ่มๆ จึงบอกเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเพิ่มเติมและให้เสนอมาเป็นแนวทางที่ 3 ก่อนจะนำเสนอให้ ครม.พิจารณาต่อไป ขณะเดียวกัน ได้มีการรายงานเรื่องนี้ให้ ครม. รับทราบแล้ว และ ครม. ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของตนเอง ที่ให้เพิ่มแนวทางที่ 3 คือ ลดราคาเบนซินในภาพรวมเช่นเดียวกันน้ำมันดีเซล
“ในการประชุม ครม. เมื่อเช้า ผมได้รายงาน ครม. ว่า หน่วยงานของกระทรวงพลังงาน รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการลดราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ แนวทางที่หนึ่ง ลดให้กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ และแนวทางที่สอง นอกจากลุ่มวินเตอร์ไซค์แล้ว ให้ขยายไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยด้วย แต่ทั้ง 2 ทางนี้ ผมไม่เห็นด้วย เพราะนโยบายรัฐบาล และที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ คือ ต้องลดราคาน้ำมันเบนซินในภาพรวม
และเราควรเอาน้ำมันเบนซินในราคาต่ำสุด มาลด ส่วนภาระค่าใช้จ่ายจะมีเท่าไหร่ รัฐบาลรับได้แค่ไหน ลดได้มาก ได้น้อย เดี๋ยวรัฐบาลตัดสินใจเอง หน่วยงานต่างๆไม่ต้องเกี่ยวข้อง แค่นำเสนอมา แล้วผมก็นำเสนอ ครม. ว่า 2 แนวทางแรก ผมไม่เห็นด้วย อยากได้แนวทางที่ 3 ซึ่งต้องขอบคุณนายกฯและ ครม. ที่เห็นด้วยกับผมว่า ให้เอาแนวทางที่ 3 คือ ลดราคาน้ำมันเบนซินในภาพรวมทั้งระบบ โดยจะพยายามทำให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน” นายพีระพันธุ์ ระบุ
นายพีระพันธุ์ ยังระบุว่า เป้าหมายของรัฐบาล คือ ต้องการลดราคาเบนซินในระดับที่ไม่น้อยกว่าการลดราคาน้ำมันดีเซลก่อนหน้านี้ คือ ราคาน้ำมันเบนซินต้องลดลงอย่างน้อย 2.5 บาท/ลิตร แต่ทั้งนี้ ต้องหารือกับกระทรวงการคลังด้วยว่าจะรับภาระได้เท่าไหร่ จะพูดล่วงหน้าไม่ได้ และหากต้องใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ และการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน ก็เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปศึกษามา
“จะต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันและการลดภาษีน้ำมันหรือไม่ ให้เขาไปศึกษารายละเอียดมา เราเอาเป้าหมายแนวทาง นโยบาย และหลักการให้เขาไปทำงาน ส่วนวิธีการเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องจะไปพิจารณา โดยจะให้ได้คำตอบภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งเป้าหมายของเรา คือ ราคาต้องลดไม่น้อยกว่าดีเซล หรือจำนวนบาทที่ลดลง คือ 2.5 บาท/ลิตร แต่อันนี้ต้องขอหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้โครงสร้างราคาน้ำมันมีปัญหาค่อนข้างมาก จึงจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ซึ่งในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันนั้น ได้มีการตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมาทำแล้ว โดยจะเริ่มประชุมในวันที่ 18 ต.ค.นี้ และมีกรอบเวลาในการพิจารณา 30-60 วัน ทั้งนี้ ในการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาน้ำมันดังกล่าว จะรวมไปถึงการกำหนดค่าการตลาดที่เหมาะสม และการทบทวนราคาหน้าโรงกลั่น
“โครงสร้างน้ำมันมีปัญหาเยอะแยะ ผมไม่เข้าใจว่า ผมเพิ่งมาทำงานได้เดือนกว่า แต่คนที่ทำงานมาเป็นปีๆ ยังไม่สามารถให้คำตอบผมได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาด จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องศึกษา หาข้อมูล ข้อเท็จจริง และต้องดำเนินการให้ได้ชัดเจน คือ โครงสร้างราคาน้ำมัน ถ้าปรับลดตรงไหนได้ในภาพรวม ก็จะดำเนินการ
สิ่งที่รัฐบาลทำใน เดือน ก.ย. และสิ่งที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดบนพื้นฐานโครงสร้างราคาน้ำมันที่ใช้กันมาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่ผมจะคิดหาวิธีการแนวทางที่ว่า ทำอย่างไรจะสามารถทำให้ราคาปรับลดลงได้มากกว่านี้ และยั่งยืนกว่านี้ ซึ่งถ้าเราจะทำเรื่องแบบนี้แล้วกฎหมายไม่ให้ ก็ต้องแก้ ไม่ใช่เรื่องยากการแก้กฎหมาย แต่การมีเป้าหมายชัดเจน เป็นเรื่องยากกว่า
ส่วนเรื่องค่าการตลาด ผมได้ตั้งคณะกรรมการฯมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแล้ว เพราะคุย (เอกชน) ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาไม่ให้ข้อมูลมา เขาบอกว่าเป็นความลับทางการค้า เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจึงตั้งคณะกรรมการฯมาศึกษาอย่างจริงจัง เอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้คำตอบเลย แล้วเราต้องถือของเราเป็นทางการ ถ้าเขาไม่ให้ ก็ต้องเอาของราชการเป็นหลัก เพราะเมื่อให้โอกาสมาชี้แจงมาทำความเข้าใจ เอาตัวเลขมา แต่ไม่มา ก็ช่วยไม่ได้
ทั้งนี้ เรื่องโครงสร้างฯ มีตั้งแต่ราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งราคาหน้าโรงกลั่น เป็นราคาที่บวกกำไรแล้ว แต่เขาเรียกว่าค่าการกลั่น ผมไม่อยากใช้คำนี้ เพราะเมื่อพูดถึงค่าการกลั่น จะหมายถึงค่าใช้จ่ายในการกลั่น แต่จริงๆไม่ใช่ค่าการกลั่น คือ บวกกำไรเบื้องต้นแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการกลั่นไปอยู่ในงบดำเนินงาน อันนี้เป็นอีกคำหนึ่งที่ผมบอกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงว่า เปลี่ยนคำได้ไหม เพราะถ้าไปใช้ค่าการกลั่น คนทั่วไปเขาไม่นึกว่าเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่ใช่” นายพีระพันธุ์ กล่าว