โฮปเวลล์ ยื่นฟ้อง 5 ตุลาการศาลรธน. ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ออกคำวินิจฉัยให้ก.คมนาคม - รฟท.ไม่ต้องคืนเงินค่าสัมปทานชดใช้ค่าก่อสร้าง รวมเป็นเงิน 1.1 หมื่นล้าน – ศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง นัดสั่งคำสั่ง 2 ต.ค.66 นี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวจากเอกสารข่าวแจกจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในกรณีที่บริษัทบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีมีคำวินิจฉัยที่ 5/2564 อันเป็นการขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
โดยเอกสารข่าวระบุว่าวันที่ 12 กันยายน 2566 เวลา 14.10 นาฬิกา บริษัท โฮปเวลล์(ประเทศไทย) จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เป็นจำเลยที่ 1 นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์เป็นจำเลยที่ 2 นายจิรนิติ หะวานนท์เป็นจำเลยที่ 3 นายนภดล เทพพิทักษ์ เป็นจำเลยที่ 4 นายวิรุฬห์แสงเทียน เป็นจำเลยที่ 5 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่อท 157/2566
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจตามสัญญาสัมปทานและสิทธิที่ได้รับจากกระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย และประกอบการระบบรถไฟชุมชนและทางด่วนยกระดับ และเพื่อจัดหาผลประโยชน์จากระบบดังกล่าวและจากที่ดินในพื้นที่สัมปทาน จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเรื่องพิจารณาที่ ต. 59/2563 คำวินิจฉัยที่ 5/2564 ระหว่าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ร้อง โดยกระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (หน่วยงานของรัฐทั้งสอง) เป็นผู้ร้องเรียนไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยจำเลยทั้งห้า วินิจฉัยว่า “ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยเบื้องต้นมีว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 หรือไม่ เห็นว่าผู้ร้องมีความเห็นว่าผู้ร้องเรียนได้รับความเดือดร้อน หรือเสียหายอันเกิดจากมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2544 และขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่ามติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 25 วรรคสาม มาตรา 188 และมาตรา 197
คดีมีปัญหาด้วยว่ามติดังกล่าวของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีลักษณะเป็นการออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการฟ้องหรือไม่ กรณีเป็นตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ….” ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 213
กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มีการลงนามในสัญญาสัมปทานกับโจทก์โดยชอบ ให้โจทก์เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างทางรถไฟยกระดับในเขตกรุงเทพมหานครโดยให้รับสัมปทานเดินรถระบบรถไฟฟ้าชุมชน (Community Train) และทางด่วนยกระดับสำหรับรถยนต์ (สัญญาสัมปทาน) ตามผลการเจรจาระหว่างกระทรวงคมนาคม กับ Hopewell Holding Limited (Hong Kong) (โครงการโฮปเวลล์) สัญญาสัมปทานกำหนดให้โจทก์เป็นผู้ลงทุนในการก่อสร้างทั้งหมด
โดยหน่วยงานของรัฐทั้งสองไม่ต้องลงทุนแม้แต่สตางค์แดงเดียว แต่หน่วยงานของรัฐทั้งสองจะได้รับค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทานทุกปีภายหลังกระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้โจทก์เพื่อดำเนินการก่อสร้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานหลายช่วง ทำให้การก่อสร้างล่าช้าและไม่อาจก่อสร้างให้สำเร็จได้และยังมีกรณีที่หน่วยงานของรัฐทั้งสองอนุมัติแบบก่อสร้างให้โจทก์ล่าช้าไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานด้วย
ที่สำคัญการบอกเลิกสัญญาของหน่วยงานทั้งสองมิได้กระทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานซึ่งอนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้แล้วว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบ และอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้หน่วยงานของรัฐทั้งสองคืนเงินค่าสัมปทานและชดใช้ค่าก่อสร้างให้โจทก์ รวมเป็นเงิน 11,888 ล้านบาท คู่สัญญาฝ่ายรัฐยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองในส่วนของผู้ร้องเรียน (โจทก์ในคดีนี้) ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองมีคำบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐปฏิบัติให้เป็นไปตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ต่อมาวันที่ 22 เมษายน 2562 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา (อุทธรณ์) ของศาลปกครองสูงสุดคดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2562 โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ด้วยการให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐปฏิบัติตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
จำเลยทั้งห้าต่างมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา กระทำการในหน้าที่โดยตรงโดยผิดกฎหมาย เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับพิจารณาและวินิจฉัยคำร้องเรียนของหน่วยงานของรัฐทั้งสอง คือ กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งไม่อาจเป็นผู้เสียหายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ได้ อีกทั้งคำร้องดังกล่าวก็ไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินพ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคสอง ที่จะต้องบรรยายการกระทำที่อ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ร้องให้ชัดเจนว่า เป็นการกระทำใด และการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อสิทธิของผู้ร้องอย่างไร
แต่ในคำร้องไม่มีรายละเอียดดังกล่าว อีกทั้งจำเลยทั้งห้ายังได้หยิบยกเอาประเด็นมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ 18/2545 มาพิจารณาว่าเป็นระเบียบและเป็นการออกระเบียบที่ไม่กระทำการตามขั้นตอนของกฎหมายที่กำหนดไว้ทั้ง ๆ ที่หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 และมาตรา 47 แล้วจำเลยทั้งห้าไม่อาจหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณาได้เลยเพราะบทบัญญัติในมาตรา 213 ไม่เป็นช่องทางให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของมติที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดแต่อย่างใด
เนื่องจากเป็นการกระทำทางตุลาการ อีกทั้ง หน่วยงานของรัฐทั้งสองมิใช่คู่ความในคดีตามมติดังกล่าว มติดังกล่าวมีขึ้นประมาณ 18 ถึง 19 ปีก่อนที่ผู้ร้องเรียนจะยื่นคำร้องเรียนเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงไม่อาจนำมาอ้างเป็นเหตุว่าเป็นการกระทำละเมิดสิทธิและเสรีภาพของหน่วยงานรัฐทั้งสองตามคำร้องเรียนได้เพราะเป็นที่ประจักษ์ว่า ขณะที่มีการประชุมของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวนับเป็นระยะเวลากว่า 20 ปีก่อนที่หน่วยงานของรัฐทั้งสองจะยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
จึงเป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้ที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ร่วมลงมติในเวลานั้น ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้หน่วยงานของรัฐทั้งสองได้รับความเสียหายในคดีที่จะเกิดในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งในขณะที่มีมติก็มิได้กระทำละเมิดผู้ใดและไม่สร้างความเสียหายให้กับผู้ใด และยังไม่ทราบว่าผู้ใดจะถูกละเมิดและได้รับความเสียหายในขณะนั้นด้วย มติดังกล่าวจึงเป็นเพียงคำแนะนำหรือแนวทางให้ศาลปกครองในคดีต่าง ๆ นำไปปรับใช้ให้เกิดความเป็นธรรมเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลใด
อีกทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมาตรา 47 (4) ได้บัญญัติไว้เป็นข้อห้ามไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาและวินิจฉัยเรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอื่นหรือเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ซึ่งศาลปกครองสูงสุดในคดีโฮปเวลล์ได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยทั้งห้านำประเด็นเรื่องมติของที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ 18/2545 ขึ้นมาวินิจฉัยทั้งที่เป็นคำร้องเรียนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยไว้
เช่น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 7/2563 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในภายหลังคือเรื่องพิจารณาที่ ต 24/2566 จึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเจตนาพิเศษโดยทุจริตหรือโดยมิชอบเพื่อให้หน่วยงานของรัฐทั้งสองได้รับประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว คือ ไม่ต้องคืนทรัพย์สินของโฮปเวลล์ ซึ่งเป็นเงินต้นรวมประมาณ 11,888 ล้านบาทให้โจทก์
การกระทำของจำเลยทั้งห้าดังกล่าวจึงเป็นการกระทำความผิดครบองค์ประกอบการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้ว
ขอให้ลงโทษข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13 พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6 ) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
โจทก์มิได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพราะประสงค์จะดำเนินคดีด้วยตนเอง
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคดีไว้เพื่อตรวจคำฟ้อง ให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในวันที่ 2 ตุลาคม 2566 เวลา 9.30 นาฬิกา