สภาผู้บริโภคพาสื่อมวลชนสำรวจ 3 โครงการสร้างคอนโดฯ มีปัญหาก่อสร้างไม่ถูกกฎหมายหลังประชาชนร้องเรียนได้รับความเดือดร้อน พบทั้งหมดเป็นบริษัทลูกของ 'บริษัทแสนสิริ' ชี้เสี่ยงผิดกฎหมายควบคุมอาคาร ด้านผอ.ควบคุมอาคาร เผยเตรียมรื้อกฎหมายเก่า-ร่างใหม่โดยยึดประชาชนเป็นหลัก
กรณีสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดเผยข้อมูลปัญหาการสร้างคอนโดมิเนียมในเขตกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เริ่มผลส่งผกระทบต่อชุมชนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิม อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องกรณีการก่อสร้างโครงการไม่ถูกกฎหมายมีคดีฟ้องร้องจนศาลส่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง
โดยสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้แทนชุมชนที่เดือดร้อนจากการสร้างคอนโดมิเนียมของบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ก่อสร้างคอนโดฯ สูงในพื้นที่แคบ ประกอบด้วยชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการเอส - ประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ ซอย 23) โครงการเอส – รัชดา (รัชดา ซอย 44) และโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นปัญหาการก่อสร้างคอนโดสูงในซอยที่มีระยะห่างไม่ถึง 6 เมตร อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.บ ควบคุมอาคาร และการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีจุดบกพร่อมไม่ได้ลงสำรวจพื้นที่จริงว่าการก่อสร้างกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนเดิม โดยมีผู้ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 1,000 ครัวเรือน และกลุ่มผู้เสียหายได้รวบรวมรายชื่อเสนอให้สภาผู้บริโภคลงตรวจสอบพื้นที่และช่วยเหลือต่อไป และในวันที่ 30 ส.ค. 2566 ทีมเจ้าหน้าที่ของสภาผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่เขต กทม. จะร่วมกันลงพื้นที่สำรวจความเดือดร้อนของชาวบ้านและรังวัดถนนว่าทั้ง 3 โครงการก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลคอนโดฯโครงการเอส - ประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ ซอย 23) 1 ในโครงการคอนโดมิเนียม ที่ทีมเจ้าหน้าที่ของสภาผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่เขต กทม. จะลงพื้นที่สำรวจข้อมูล
พบว่าปัจจุบันมีสภาพเป็นพื้นที่โล่ง ยังไม่ได้มีการเริ่มก่อสร้าง อาคารเก่าบางส่วนยังทุบรื้อถอนไม่เสร็จสิ้น
ป้ายข้อมูลโครงการฯ ระบุว่า เป็นโครงการก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัย 8 ชั้น ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้องชุด 219 ห้อง กำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 1 มี.ค. 2568 เจ้าของอาคาร คือ บริษัท แสนสิริ โฮลดิ้ง ซิกซ์ จำกัด ผู้ดำเนินการ คือ บริษัท กรณิศ ก่อสร้าง จำกัด โดยใบอนุญาต 39 ทวิ อยู่ระหว่างการรอรับใบแจ้ง
ขณะที่ บริษัท แสนสิริ โฮลดิ้ง ซิกซ์ จำกัด มี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
- ป้ายคัดค้านเพียบ! คอนโดเอส-ประดิพัทธ์23 สภาผู้บริโภคลุยตรวจ30 ส.ค.นี้ -เจ้าของบ.แสนสิริฯ
- ร้อง!สภาผู้บริโภค ตรวจสอบ บ.อสังหาฯชื่อดัง สร้างคอนโดในซอยแคบ ส่อผิด กม.ควบคุมอาคารหรือไม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 สภาผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่เขต กทม. และตัวแทนของผู้อำนวยการสำนักควบคุมอาคาร พร้อมสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจ 3 ชุมชนกลางกรุงหลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนผู้อาศัยรอบข้างได้รับความเดือดร้อนจากโครงการอาคารสูงในซอยแคบ ซึ่งประกอบด้วยชุมชนโครงการเอส - ประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ ซอย 23) โครงการเอส – รัชดา (รัชดา ซอย 44) และโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) ทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) คือ คอนโดที่มีความสูงไม่เกิน 23 เมตร หรือคอนโดที่มีความสูงประมาณ 8-9 ชั้น สร้างในซอยแคบ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม
ทั้งนี้ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ได้กำหนดให้ถนนสาธารณะที่สถานที่ก่อสร้างอาคารสูงระดับนี้ตั้งอยู่ จะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร และยาวต่อเนื่องไปถึงทางสาธารณะที่กว้างกว่า โดยในข้อ 5 ของขอบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดคำนิยาม 'เขตทาง' ที่หมายความว่า ความกว้างรวมของทางระหว่างแนวที่ดินทั้งสองด้าน ซึ่งรวมความ กว้างของผิวจราจร ทางเท้า ที่ว่างสำหรับปลูกต้นไม้ คูน้ำ และอื่นๆ เข้าด้วย เพราะคำนิยามของคำว่า เขตทาง ที่ครอบคลุมความกว้างรวมของทางระหว่างแนวที่ดินทั้งสองด้าน แต่ไม่ใช่พื้นที่ถนนที่รถสามารถสัญจรสวนทางกันได้ กลายเป็นปัญหาของการก่อสร้างตึกสูงในซอยแคบเรื่องการสัญจร และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนเดิมได้
ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สภาผู้บริโภค และตัวแทนชุมชนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและรังวัดจริง ใน 2 วิธีคือ
1. รังวัดตามคำนิยามของเขตทางคือวัดระยะถนนจากกำแพงด้านหนึ่งชนกับอีกด้านหนึ่ง
2. รังวัดตามข้อเท็จจริงในการใช้ชีวิต และการสัญจรจากพื้นผิวถนนเป็นหลัก
@ สภาผู้บริโภคสำรวจโครงการเอส - ประดิพัทธ์
กรณีโครงการเอส - ประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ ซอย 23) สูง 8 ชั้น 219 ห้องที่จอดรถ 68 คัน ซึ่งขณะนี้โครงการผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อยู่ระหว่างขอใบอนุญาตก่อสร้าง ที่มีเจ้าของอาคาร คือ บริษัท แสนสิริ โฮลดิ้ง ซิกซ์ จำกัด ผู้ดำเนินการ คือ บริษัท กรณิศ ก่อสร้าง จำกัด โดยใบอนุญาต 39 ทวิ อยู่ระหว่างการรอรับใบแจ้ง ขณะที่ บริษัท แสนสิริ โฮลดิ้ง ซิกซ์ จำกัด มี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
อย่างไรก็ตาม หากวัดตามวิธีที่ 1 คือนิยามเขตทางจะพบว่า 2 จุดมีระยะห่างไม่ถึง 6 เมตร คือ บริเวณถนนต้นปากซอยประดิพัทธ์ 23 มีความกว้าง 5.6 เมตร กลางซอยมีความกว้าง 5.8 เมตร แต่มีเพียง 1 จุด คือบริเวณหน้าตลาดสดเริ่มจากเสาไฟฟ้าฝั่งตลาดไปถึงกำแพงบ้านฝั่งตรงข้ามที่วัดตามนิยามของเขตทาง โดยวัดได้ประมาณ 7.5 เมตร ขณะที่หากวัดตามวิธีการที่ 2 คือพื้นผิวจราจรพบว่าทั้ง 3 จุด มีระยะถนนไม่ถึง 6 เมตร
นอกจากนี้ในพื้นที่ดังกล่าวยังพบว่ารถจอดสองข้างทาง ทำให้เกิดปัญหารถไม่สามารถขับสวนกันได้ และการสัญจรติดขัดในช่วงเวลาเร่งด่วน (rush hour) รวมไปถึงหากเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถดับเพลิงอาจไม่สามารถเข้าไปในซอยได้
นายทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเอส – ประดิพัทธ์
นายทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเอส – ประดิพัทธ์ ให้ความเห็นถึงสิทธิผู้บริโภคโดยพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญว่า ผู้บริโภคทุกคนมีสิทธิที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและยังชีพได้อย่างปลอดภัย และสิ่งใดที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ผู้บริโภคต้องปกป้องสิทธิของตนเอง เช่น การมีคอนโดสูงมาสร้างติดหลังบ้าน จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อการอยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตที่เป็นอยู่
“การมีตึกสูงอยู่หลังบ้านจะบังแดดบังลมส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งยังมี ปัญหาที่จอดในคอนโดไม่เพียงพอ หากมีรถจอดสองข้างทางมากจนเกินไป หากเกิดไฟไหม้รถดับเพลิงและรถพยาบาลไม่สามารถสัญจรเข้าได้ และระหว่างก่อสร้างจะก่อให้เกิดมลพิษทางฝุ่น เป็นปัญหาที่ผู้บริโภคต้องตระหนักถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนและลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเองตามที่รัฐธรรมนูญระบุว่าประชาชนพึงมีสิทธิพื้นฐานที่จะมีชีวิตที่ดี” นายทิววัฒน์ ระบุ
ปัญหาที่ผู้เสียหายอีกท่านหนึ่งเสนอ คือ ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในด้านกฎหมาย ที่มีไว้บังคับใช้กับชาวบ้านที่ถูกบังคับใช้อย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ในทุกวัน เป็นเพราะประชาชนทั่วไปไม่มีความรู้ในด้านนี้และไม่มีเงินทุนที่จะต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของชุมชนส่วนใหญ่ตระหนักว่าทุกคนต้องรู้จักสิทธิของตัวเองและร่วมมือกันปรับเปลี่ยนกฎหมายให้บังคับเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ใช่มีไว้เพื่อเอื้อต่อนายทุนอสังหาฯ กฎหมายควรรองรับทุกคนให้เท่าเทียมกัน
@ สำรวจโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37)
โครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) เป็นโครงการสูง 8 ชั้น จำนวน 230 ห้อง ที่จอด 80 คัน จากการลงพื้นที่รังวัดจริงทั้งหมด 3 จุด ได้แก่
1. บริเวณทางโค้งภายในซอยตั้งแต่เส้นลวดยึดโยงเสาไฟฟ้าถึงท่อประปาบนดิน มีความกว้าง 5.37 เมตร
2. บริเวณเสาไฟฟ้าถึงทางระบายน้ำกว้าง 5.32 เมตร
3. บริเวณกระบะต้นไม้ถึงกระบะต้นไม้อีกฝั่ง กว้าง 6.2 เมตร เมื่อวัดผิวจราจรในจุดนี้มีความกว้าง 4.5 เมตร
พบว่าระยะกว้างถนน ไม่ถึง 6 เมตร ทั้งการรังวัดตามวิธีการที่ 1 คือ คำนิยามของเขตทาง และวิธีการที่ 2 คือวัดตามพื้นผิวถนน โดยการวัดตามนิยามเขตทางได้ประมาณ 5.7 เมตร ซึ่งไม่ผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ที่ถนนสาธารณะจะต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร
ทั้งนี้ ซอยพหลโยธิน 37 มีชุมชนดั้งเดิมที่อาศัยเป็นบ้านแนวราบมานานกว่า 90 ปี และมีโรงเรียนอรรถมิตร ที่มีนักเรียนกว่า 1,700 คน ในช่วงเวลาเลิกเรียนพบปัญหารถติด ตั้งแต่หน้าโรงเรียนไปจนถึงปากซอย และความกว้างของถนนที่ค่อนข้างแคบสองข้างทางไม่ทางเท้าสำหรับสัญจรได้อย่างปลอดภัย ผู้คนที่สัญจรไปมาต้องคอยหลบรถที่เข้าออก
นายธีระ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเดอะมูฟ
นายธีระ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) กล่าวว่า ชุมชนนี้มีผู้สูงวัยจำนวนมาก และมีนักเรียนกว่า 1,000 คน ที่ผ่านมาไม่ทราบรายละเอียดของโครงการ ส่วนตัวก็สบายใจเห็นว่าเป็นโครงการใหญ่จากบริษัทดัง เพราะเห็นว่ามีวิสัยทัศน์เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมาดูรายละเอียดของโครงการก็พบว่ามีถึง 230 ห้อง เมื่อีกว่าทุกคนที่จะมาซื้อโครงการนี้มีรถยนต์คนละ 1 คัน การจราจรภายในซอยจะต้องติดขัดกว่าเดิมอย่างแน่นอน
อีกทั้งยังมีเรื่องของปริมาณการใช้น้ำและไฟฟ้าที่จะต้องใช้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อโครงการเข้ามาเริ่มมีการตัดต้นไม้จนหมด กระทบเรื่องสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่เดิมของผู้สูงอายุในชุมชนที่ควรได้รับอากาศบริสุทธิ์ แต่กลับต้องได้ผลกระทบด้านฝุ่น เสียง ที่ส่งผลต่อสุขภาพ รวมถึงพื้นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นซีเมนต์ เมื่อฝนตกน้ำจะไม่ไหลลงดิน เกิดปัญหาน้ำท่วมมากกว่าเดิม และปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอทั้งนี้ โครงการเคยให้รายงานการศึกษาแต่ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง ชุมชนจึงได้ขอข้อมูลใหม่กับโครงการฯ เป็นข้อมูลการศึกษาถึงผลกระทบทุกอย่างที่คนในชุมชนควรได้รู้ เช่น ด้านสุขภาพ อนามัย เสียง ฝุ่น การบังแดดบังลม
"อยากให้ทางการคิดถึงประชาชนบ้าง ดูกฎหมายตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อย่าให้ถึงขั้นให้ศาลปกครองชี้ขาด อย่าให้รัฐธรรมนูญเป็นกระดาษเปล่าไม่มีความหมาย" นายธีระ กล่าว
ผู้อำนวยการโรงเรียนอรรถมิตร (เสื้อสีฟ้าถือไมโครโฟน)
ผู้อำนวยการโรงเรียนอรรถมิตร กล่าวว่า ถ้ามีการก่อสร้างจะทำให้การจราจรบริเวณโรงเรียนเป็นอัมพาต เนื่องจากซอยรัชโยธิน 37 เป็นซอยตันเข้าออกได้เพียงทางเดียว ถ้ามีการก่อสร้างโรงเรียนจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ถ้ามีการนำรถขนปูนหรือรถขนาดใหญ่ใช้ในการก่อสร้าง นักเรียนจะไม่มีทางเดินเท้า
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราพบว่าบริเวณที่เป็นที่ดินที่จะมีการก่อสร้างคอนโดฯ มีกำแพงล้อมรอบและมีประตูเหล็กเลื่อน แต่ภายในเต็มไปด้วยวัชพืช และบ้านที่อยู่ใกล้ที่ดินดังกล่าวและบ้านในชุมชนซอยรัชโยธิน 37 ต่างแขวนป้ายไม่เห็นด้วยกับการสร้างคอนโดฯ
สภาพภายในที่ดินของโครงการก่อสร้างคอนโดฯ
@ สำรวจโครงการเอส – รัชดา (รัชดาซอย 44)
ที่ดินสำหรับก่อสร้างโครงการเอส – รัชดา คือบริเวณกำแพงสีเทาเข้มที่ทอดตัวยาวไปจนถึงบริเวณสี่แยกในซอยรัชดา 44
โครงการเอส – รัชดา (รัชดาซอย 44) โครงการรูปตัวยู สูง 8 ชั้น ขนาด 530 ห้อง ที่จอดรถ 150 คัน จากการลงพื้นที่วัดจริง 3 จุด ได้แก่
1. เริ่มวัดความกว้างถนนบริเวณกำแพงบ้านข้าง ๆ ที่ดินที่จะก่อสร้างคอนโดถึงกำแพงบ้านฝั่งตรงข้าม กว้าง 5.65 เมตร
2. เริ่มวัดความกว้างถนนจากเสาไฟฟ้าถึงกำแพงบ้านอีกฝั่ง กว้าง 5.29 เมตร
3. เริ่มวัดความกว้างถนนวัดจากกำแพงบ้านถึงกำแพงบ้านฝั่งตรงข้าม กว้าง 5.7 เมตร
ภาพถนนภายในซอยรัชดา 44 ที่มีการวัดความกว้างของถนน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้แม้จะพบว่าบางจุดมีความกว้าง 6.1 เมตร แต่ก็ไม่ใช่ตลอดแนวถนน จึงไม่สามารถก่อสร้างคอนโดฯได้
ทั้งนี้ยังพบว่าซอยดังกล่าวสามารถเชื่อมไปยังเส้นทางอื่นทำให้การจราจรหนาแน่น และยังมีโรงเรียนและโรงพยาบาลผู้สูงอายุ ซึ่งมีการสัญจรของรถพยาบาลตลอดเวลา ดังนั้นหากมีการสร้างคอนโดอาจส่งผลกระทบด้านการสัญจร
นอกจากนี้ยังพบรูปแบบการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเป็นลักษณะรูปตัวยู ล้อมบ้านของผู้อยู่อาศัยเดิมหนึ่งหลังลักษณะเป็นไข่ดาวกลางโครงการ หากมีการอนุมัติโครงการและเกิดการก่อสร้าง บ้านหลังนั้นจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างไม่ว่าจะเป็น ฝุ่น เสียง หรืออุบัติเหตุจากการก่อสร้างได้
ภาพบ้านที่ถูกที่ดินสำหรับก่อสร้างคอนโดขนาบข้าง โดยที่ตัวบ้านอยู่ตรงกลาง
นายสมวงศ์ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเอส – รัชดา (สวมเสื้อสีเทายืนตรงกลาง)
นายสมวงศ์ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเอส – รัชดา (รัชดาซอย 44) ได้ระบุเพิ่มเติมว่า มีการทำประชาพิจารณ์จนโครงการตัดสินใจลดขนาดจาก 530 ยูนิต เหลือ 280 ยูนิต อย่างไรก็ตามแม้โครงการจะลดขนาดลง ถนนในซอยก็ยังกว้างไม่พออยู่ดี เพราะถนนในซอยค่อนข้างแคบกว่าที่อื่น อีกทั้งยังกังวลเรื่องการจราจร น้ำท่วม และหากเกิดอัคคีภัยรถดับเพลิงจะไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือการวิ่งเข้าออกของรถฉุกเฉิน เนื่องจากในชุมชนมีสถานพยายาลของผู้สูงอายุอยู่ด้วย
นายสมวงศ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบที่จะได้รับเรื่องของการบังแดดและลม ที่อาจก่อให้เกิดเชื้อรา และส่งผลถึงเรื่องของสุขภาวะในระยะยาว หากมีการสร้างคอนโดจะกระทบการเป็นอยู่เดิม รวมถึงผลกระทบระหว่างก่อสร้าง และยังกล่าวถึงกฎหมายเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่ค่อนข้างเก่า
เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราถามผู้อาศัยในชุมชนรายหนึ่งว่า เจ้าของโครงการที่จะก่อสร้างเป็นของบริษัทใด ได้รับคำตอบว่าเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวพบว่าภายในที่ดินที่จะมีการก่อสร้างคอนโดฯข้างต้นพบว่ามีสิ่งปลูกสร้างที่รกร้างและยังไม่ได้ทุบทิ้ง โดยบ้านที่อยู่ใกล้กับที่ดินดังกล่าวมีการแขวนป้ายไม่เห็นด้วยกับการสร้างคอนโดฯ จำนวนมาก
ภาพสภาพภายในที่ดินที่จะมีการก่อสร้างคอนโดฯ
ภายหลังการสำรวจทั้ง 3 โครงการเสร็จสิ้น นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค มีความเห็นว่า จากข้อมูลการร้องเรียนทั้ง 3 ชุมชน และจากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สภาผู้บริโภค พบว่า ทั้ง 3 โครงการมีปัญหาที่ส่อจะผิดข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 เนื่องจากหลายจุดระยะถนนไม่ถึง 6 เมตร รวมไปถึงข้อเท็จจริงในการใช้ชีวิตของชุมชนอาจจะถูกละเมิดได้
ดังนั้น สภาผู้บริโภค จึงเชิญเจ้าหน้าที่เขต กทม. และสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน ก่อนจะมีการอนุมัติโครงการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ นอกจากนี้ยังเห็นว่าจากข้อเท็จจริงของทั้ง 3 ชุมชนว่า นิยามเขตการทางตามกฎหมายไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของระยะถนนที่ชุมชนใช้ชีวิตอยู่จริง จึงเห็นว่าควรพิจารณาแก้ไขคำนิยามดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่
นายสุรัช ติระกุล ผู้อำนวยการสำนักควบคุมอาคาร กล่าวว่า เร็ว ๆ นี้จะมีการรื้อและทำร่างข้อกฎหมายใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นหลัก การลงพื้นที่ของสภาผู้บริโภคในวันนี้ที่มีการวัดความกว้างถนน ตามหลักการวัดของกทม.จะวัดจากรั้วถึงรั้วเป็นหลัก การวัดเสาไฟฟ้าถึงรั้วจะไม่นับเพราะเสาไฟฟ้าถือว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งไม่ถูกหลักการวัดของกทม.
นางสารีกล่าวเสริมนายสุรัชว่า คำพิพากษาปกครองสูงสุดกล่าวชัดเจนว่าเวลาวัดความกว้างของถนนต้องวัดตั้งแต่เสาไฟฟ้าเพราะเสาไฟฟ้าเคลื่อนย้ายไม่ได้ เวลาขับรถก็ลงไปย้ายเสาไฟฟ้าไม่ได้ ต้องวัดจากเสาไฟฟ้าฝั่งหนึ่งมาอีกฝั่งหนึ่ง การวัดเช่นนี้ควรจะเป็นเกณฑ์ที่เขตทางที่ใช้วัดจริง เนื่องจากทางสาธารณะไม่ควรรวมเสาไฟฟ้า รางน้ำ ฟุตพาธ ซึ่งการวัดจากรั้วถึงรั้วของกทม.เป็นจุดที่สภาผู้บริโภคไม่เห็นด้วย อยากให้กทม.ยึดตามแนวคำพิพากษา อีกทั้งถนนต้องมีความกว้างกว่า 6 เมตร ตลอดแนวจนถึงโครงการ ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง
"สำหรับโครงการนี้ตอนนี้ทำเรื่องถึงกทม.ให้ทบทวนขณะนี้ยังมีทางออก หวังว่ากทม.จะเรียนรู้จากกรณีของแอชตัน ไม่ต้องถึงขั้นฟ้องคดี อยากขอร้องผู้ประกอบการให้ทำคอนโดฯให้มีขนาดเล็กลง มีพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร ตามหลักกฎหมาย เพราะจะได้ไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่" นางสารี กล่าว
ทั้งหมดนี้พบว่า 3 โครงการข้างต้นที่มีปัญหาล้วนเป็นโครงการบริษัทลูกของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หากมีความคืบหน้าสำนักข่าวอิศราจะมารายงานเพิ่มเติมต่อไป