‘ชูวิทย์’ แฉ ‘เศรษฐา - แสนสิริ’ รอบใหม่ ลั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะออกมาเปิดโปง ระบุการซื้อขายที่ดินย่านสุขุมวิท 12 มีความไม่ชอบมาพากล ใช้นอมินีไทย-ซามัวร์ ซื้อที่มาในราคา 499 ล้าน แต่เอาไปจำนองต่อได้เงินมา 2.5 พันล้านบาท แต่พบแจ้งในงบการเงินแค่ 1.8 พันล้านบาท ตั้งข้อสังเกตเป็นกระบวนการไม่ชอบมาพากลของแสนสิริ เพราะมีเงินทอนกว่า 675 ล้านบาทหายไปที่ฮ่องกง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 สิงหาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและอดีตนักธุรกิจชื่อดัง แถลงข่าวโดยใช้ชื่อว่า แฉเพื่อชาติ EP.3 ตอกฝาโลง โดยจะเป็นครั้งสุดท้ายของการออกมาเปิดโปงแล้ว โดยจะกล่าวถึงการซื้อขายที่ดินย่านถ.สุขุมวิท บริเวณซ.สุขุมวิท 12 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ติดถนนใหญ่
นายชูวิทย์เริ่มต้นว่า เดิมที่ดินดังกล่าว มีบจ. ศิวะแลนด์ เป็นเจ้าของ มีทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นประกอบด้วย บจ.แรมแบรนด์โฮลดิ้ง ถือหุ้นใหญ่สุด 51.43%, บจ.ไทยฟิลาเมนท์ เท็กซ์ไทล์ 35.71%, บจ.ศิวะโฮลดิ้ง 7.14% และบจ.ศิวะ โฮทล์ 5.71% ซึ่งได้นำที่ดินดังกล่าวจดจำนองกับธนาคารกรุงเทพได้เงินกู้จำนวน 1,000 ล้านบาท
ต่อมามีการเข้ามาซื้อหุ้นโดยนายชูวิทย์อ้างว่าเป็นนอมินีช่าวต่างประเทศ 1 รายสัญชาติซามัวร์ และนอมินีชาวไทยระบุชื่อนายโชคชัย รูปคม อาชีพรปภ. ภูมิลำเนาอยู่ จ.มุกดาหาร โครงสร้างผู้ถือหุ้นรอบใหม่ประกอบด้วย นายโชคชัย รูปคม ถือหุ้นใหญ่สุด 51.43%, Crown City Limited ซึ่งนายชูวิทย์ระบุว่า เป็นบริษัทที่จดทะเบียน ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งมีชาวซามัวร์เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ด้วย โดยถือหุ้นในสัดส่วน 48.57% และ Active Talent Limited ถือหุ้นในสัดส่วน 1 หุ้น ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2559
โดยหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหม่ นายชูวิทย์กล่าวอีกว่า มีการทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวด้วยการปลอดจำนองที่ดินผืนดังกล่าวในวงเงิน 1,000 ล้านบาท และเข้าซื้อหุ้นใช้เงินอีก 175 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,175 ล้านบาท
@ธุรกรรมอำพราง เงินทอน 675 ล้านบาทหาย
และอีก 3 วันต่อมาคือ วันที่ 14 มี.ค. 2559 มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้ Crown City Limited กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด 99.99% และมี Active Talent Limited และนายพธศลย์ อาริยชัยอนันต์ ถือคนละหุ้น กลายเป็นบริษัทต่างด้าวไปในที่สุด ซึ่งในวันเดียวกันมีการขายที่ดินผืนดังกล่าวให้กับ บจ.พัฒนศิริ ออกไปในราคา 499.46 ล้านบาท หรือตารางวาละ 565,000 บาท ซึ่งนายชูวิทย์กล่าวหาบริษัท พัฒนศิริว่าเป็นบริษัทลูกของแสนสิริ เพราะในรายลื่อผู้ถือหุ้นประกอบด้วย แสนสิริถือหุ้นใหญ่สุด 99.99% นอกนั้นมีนายเศรษฐา ทวีสิน, นายอภิชาติ จูตระกูล, นายวันจักร บุรณสิริ, นายอุทัย อุทัยแสงสุข และนายนพพร บุญถนอม ถือคนละ 1 หุ้น
โดยการซื้อขายที่ดินในราคาดังกล่าว นายชูวิทย์ตั้งข้อสังเกตมีราคาถูกกว่าท้องตลาดหรือไม่ เพราะต่อมาแสนสิรินำที่ดินผืนดังกล่าวไปจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์ได้วงเงินมา 2,556 ล้านบาท ในขณะที่ซื้อที่ดินดังกล่าวมาในราคาเพียง 499 ล้านบาทเท่านั้น แต่ในการลงบัญขีงบการเงินกลับบันทึกเพียง 1,850 ล้านบาท และจากจุดนี้ นายชูวิทย์ขยายความว่า หากนำไปหักกับการซื้อที่ดินดังกล่าวมาในราคา 1,000 ล้านบาทและชำระทุนจดทะเบียนอีก 175 ล้านบาท จะต้องเหลือเงินอีก 675 ล้านบาท จึงมีคำถามอีกว่า เงินจำนวนนี้หายไปไหน ซึ่งพบว่ามีการโอนไปยัง Crown City Limited สำหรับตัวการที่ดำเนินการ นายชูวิทย์อ้างว่า คือนายพธศลย์ อาริยชัยอนันต์ เพราะเป็นคนของแสนสิริ
และธุรกรรมตั้งแต่การไปปลอดจำนองกับธนาคารกรุงเทพจนมาถึงการที่บจ.พัฒนศิรินำไปจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์ เกิดขึ้นในระยะเวลา 3 วันเท่านั้น และในระยะเวลาต่อมา บจ.พัฒนศิริ ขายหุ้นให้ บจ.บีทีเอสแสนสิริ โฮลดิ้ง ฟิฟทีนไปในที่สุด
@แฉนอมินีมีสัมพันธ์กับ ‘เศรษฐา-อภิชาติ’
ต่อมา นายชูวิทย์ได้เปิดผังความสัมพันธ์ (ดูภาพประกอบด้านล่าง) จากล่างสุดคือนายพธศลย์ อาริยชัยอนันต์ ซึ่งนายชูวิทย์กล่าวว่าเป็นนอมินีของแสนสิริ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สกล นั้น นอกจากจะถือหุ้นใน บจ.ศิวะแลนด์แล้ว ยังเป็นกรรมการใน บจ.เรียลตี้ มีนายทศพงศ์ จารุกวี หรือขงเบ้งของนายเศรษฐา ถือหุ้นใหญ่สุด 49.97% โดยนายทศพงศ์นี้ นายชูวิทย์อ้างว่ามีภรรยาที่เป็นพี่น้องกับภรรยาของนายเศรษฐา ทวีสิน และนายสกลคนนี้ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใน บจ.แนเชอรัล เพลส ที่มีนางสาวศันสนีย์ จูตระกูลอันมีศักดิ์เป็นน้าสะใภ้ของนายเศรษฐาและอาสะใภ้ของนายอภิชาติ จูตระกูล ซึ่งนายอภิชาติกับนายเศรษฐามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
อ่านประกอบ