ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อมาเลเซียได้ประโยชน์หากไทยปรับกติกาอีลิทวีซ่าเพิ่มค่าธรรมเนียมถึง 500 เปอร์เซ็นต์ ผู้สมัครวีซ่าใหม่ 25 เปอร์เซ็นต์จะย้ายมามาเลเซีย ทำรายได้เพิ่มนับหมื่นล้าน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวต่างประเทศที่เกี่ยวกับประเทศไทยว่า นายคาชีฟ อันซารี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Juwai IQI ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศมาเลเซียได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ประเทศไทยและสิงคโปร์ได้เพิ่มระดับความยากการเข้าถึงวีซ่ายอดนิยมให้ยากนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์กับประเทศมาเลเซีย
นายคาชีฟกล่าวต่อไปว่าเหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งกำลังมองหาการลงทุน การสร้างงาน ,การสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับท้องถิ่น และแรงงานที่มีฝีมือ
ประธานบริษัท Juwai กล่าวต่อไปว่าเขาประเมินว่าการปรับเปลี่ยนดังกล่าวอาจจะทำให้การกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศมาเลเซียกว่า 2.7 พันล้านริงกิต (20,572,263,732 บาท) ในอีกห้าปีข้างหน้า ทำให้เกิดเงินฝากเพิ่มในธนาคารมาเลเซียกว่า 7 พันล้านริงกิต (53,351,584,741 บาท) และทำให้มีค่าธรรมเนียมรัฐบาลเพิ่มกว่า 35 ล้านริงกิต (266,757,923 บาท)
“เมื่อโปรแกรมวีซ่าอื่นๆเริ่มปฏิเสธผู้สมัคร ประเทศมาเลเซียอาจจะได้ประโยชน์” นายคาชีฟกล่าว
ทั้งนี้มีรายงานว่าประเทศสิงคโปร์กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงกติกาเกี่ยวกับโปรแกรมการย้ายถิ่นฐานในประเทศซึ่งอาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับมาเลเซีย โดยกติกาใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. นั้นจะส่งผลทำให้เป็นการยากขึ้นสำหรับภาคธุรกิจในประเทศที่จะว่าจ้างแรงงานต่างชาติ ภายใต้โปรแกรมจ้างงานสิงคโปร์ หรือ Singapore Employment Pass
โดยสิงคโปร์คาดว่าการทำให้ภาคธุรกิจจ้างแรงงานต่างชาติยากขึ้น จะส่งผลทำให้เกิดการกระตุ้นการจ้างงานในประเทศ
ขณะที่นายคาชีฟได้ประเมินว่า ณ เวลานี้มีแรงงานต่างชาติจำนวนกว่า 1.8 แสนคน ได้วีซ่าภายใต้โปรแกรม Singapore Employment Pass
“ยังไม่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงกฎจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญเพียงใด หากจํานวนผู้ผ่านวีซ่าในโปรแกรมของสิงคโปร์ลดลงอย่างมากและ บริษัท ต่างๆอาจจะมองว่ามาเลเซียเป็นสถานที่ที่เป็นมิตรมากกว่า บริษัทหรือแม้แต่แรงงานบางกลุ่มอาจเปลี่ยนเป้าหมายไปมาเลเซีย” นายคาชีฟกล่าว
ส่วนที่ประเทศไทย มีการสื่อเป็นนัยยะว่าจะมีการปรับเปลี่ยนกติกาในโปรแกรมไทยแลนด์อีลิท วีซ่า ซึ่งได้รับความนิยม โดยจะเปลี่ยนกติกาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป และการเปลี่ยนแปลงกติกาจะส่งผลทำให้ค่าธรรมเนียมวีซ่าพุ่งสูงขึ้น 500 เปอร์เซ็นต์
นายคาชีฟกล่าวว่าสื่อไทยเรียกการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดชัดเจนก็ตาม
“ผลกระทบที่สําคัญที่สุดน่าจะมาจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายของวีซ่าโดยสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมได้แนะนํานั้นจะอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ถึง 500 เปอร์เซ็นต์” นายคาชีฟกล่าว
สำหรับอีลิทวีซ่าของไทยนั้นจะเหมือนกับโปรแกรม MM2H ของประเทศมาเลเซีย แต่ว่ามีผู้สมัครโปรแกรมนี้กว่า 20,000 คน
โดยถ้าหากประเทศไทยได้มีการปรับกติกาเหล่านี้ตามที่มีการคาดการณ์ไว้จริง นายคาชีฟกล่าวว่าเชื่อว่า โครงการอีลีทวีซ่าของไทยจะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับประเทศมาเลเซีย
“เราประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงวีซ่าไทยอีลิทของไทย อาจจะส่งผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยผู้สมัครใหม่จำนวนร้อยละ 5-25 อาจจะเปลี่ยนเป้าหมายจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซีย” นายคาชีฟกล่าว
นายคาชีฟกล่าวต่อไปว่าในช่วงห้าปีต่อจากนี้ อาจส่งผลให้มีเงินฝากใหม่ในธนาคารมาเลเซียมากถึง 7 พันล้านริงกิต และในกรอบเวลาเดียวกันอาจทําให้รัฐบาลมีรายได้ 35 ล้านริงกิตในส่วนของค่าธรรมเนียมการสมัคร และในส่วนของผู้ถือวีซ่าคาดว่าจะมีการใช้จ่ายโดยตรงเพื่อการบริโภคส่วนประมาณ 2.7 พันล้านริงกิต (20,588,121,531 บาท)
ประธานบริษัท Juwai กล่าวต่อไปว่าการประมาณการการบริโภคส่วนบุคคลตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าผู้ถือวีซ่าแต่ละคนใช้จ่ายเฉลี่ย 28,320 ดอลลาร์สหรัฐฯในการบริโภคส่วนบุคคลต่อปี
สำหรับโปรแกรม MM2H มีกติการะบุว่าผู้ที่ต้องการจะสมัครโปรแกรมนี้จะต้องมีการฝากเงินขั้นต่ำ 1 ล้านริงกิต (7,629,050 บาท) ในบัญชีธนาคารมาเลเซีย และจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอีก 5,000 ริงกิต (38,239 บาท)
“โปรแกรมไทยแลนด์อีลิทวีซ่าจัดว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับโปรแกรม MM2H เพราะทั้งสองโปรแกรมมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดชาวต่างชาติที่ร่ำรวยให้มาเพิ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับประเทศของตนผ่านค่าธรรมเนียมและการลงทุน และทั้งสองประเทศก็มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของไลฟ์สไตล์ที่น่าดึงดูด ธรรมชาติที่สวยงาม ความเป็นประเทศศูนย์กลาง อาหารที่อร่อย และคุณภาพชีวิตที่ดี” นายคาชีฟกล่าว
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับไทยแลนด์อิลิทวีซ่านั้นประกอบไปด้วย 7 ประเภทด้วยกันได้แก่
1.Elite Ultimate Privilege: ได้วีซ่า อายุ 5 ปี สามารถขยายเวลาในการพำนักได้ 1 ปี ต้องรายงานตัวอยู่ในราชอาณาจักรไทย 90 วัน โดยบัตรสมาชิกจะมีอายุ 20 ปี อัตราค่าสมัครอยู่ที่ 2,000,000 ล้านบาท
2.Elite Superiority Extension: สมาชิกจะได้วีซ่าอายุ 5 ปี สามารถต่ออายุพำนักได้ 1 ปี ต่อการดำเนินการ 1 ครั้ง ต้องรายงานตัวอยู่ในราชอาณาจักรไทย 90 วัน โดยบัตรสมาชิกจะมีอายุ 20 ปี อัตราค่าสมัครอยู่ที่ 1,000,000 ล้านบาท
3.Elite Privilege Access: สมาชิกได้วีซ่าอายุ 5 ปี สามารถต่ออายุการพนักได้ 1 ปี ต่อการดำเนินการ 1ครั้ง ต้องรายงานตัวอยู่ในราชอาณาจักรไทย 90 วัน บัตรมีอายุ 10 ปี ค่าสมัครอยู่ที่ 1,000,000 บาท ราคาค่าสมาชิก 800,000 บาท
4.Elite Easy Access: บัตรประเทภนี้จะได้วีซ่าอายุ 5 ปี ราคาอยู่ที่ 500,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ต้องรายงานตัวในราชอาณาจักรไทย 90 วัน อัปเกรดสมาชิกได้แต่ไม่สามารถโอน หรือคืนเงินได้ บัมตรสมาชิกมีอายุ 5 ปี
บัตร "อีลิทการ์ด" ประเภทครอบครัว
5.Elite Family Alternative: เป็นบัตรประเภทที่สามารถเดินทางเข้าไทยได้แบบครอบครัวค่าสมัครอยู่ที่ 800,000 บาท มีค่าสมัครเพิ่มเติมสมาชิกราว 700,000 บาทต่อรายการ วีซ่ามีอายุ 5 ปี ต่ออายุการพำนักในไทยได้ 1 ปี
6.Elite Family Excursion: บัตรนี้กำหนดว่าจะต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 2 คน อายุสมาชิก 5 ปี ค่าสมัคร 800,000 บาท หากต้องการเพิ่มสมาชิกมีค่าธรรมเนียมเพิ่ม 300,000 บาท จะได้สิทธิวีซ่าอายุ 5 ปี ต่อายุการพำนักได้ 1 ปี
7.Elite Family Premium: บัตรนี้จะได้สทธิวีซ่าอายุ 5 ปี สามารถต่ออายุในการพำนักได้ 1 ปี มีค่าสมัครประมาณ 1,000,0000 ล้านบาท โอนสิทธิได้ 1 ครั้งแต่ต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น ค่าธรรมเนียมการโอนอยู่ที่ 20% ของอัตราแลกเปลี่ยน มีค่าธรรมเนียม 10,000 บาท ผู้ถือบัตรสมาชิกจะต้องรายงานตัวทุก 90 วัน
เรียบเรียงจาก:https://www.nst.com.my/business/2023/08/942785/changes-thai-spore-visa-may-generate-rm27bln-new-spending-malaysia-over-five?fbclid=IwAR2_pOGB6JQKMtbtzWEe474gcUe0U6JT-0XgVMqjzMIYzD7n8i4p-kYUnaw,https://thailandelite.com/membership/