เป็นทางการ! พรรคเพื่อไทย แถลงถอนตัวจากพรรคก้าวไกล ฉีก MOU สลาย 8 พรรคร่วม จับขั้วใหม่ตั้งรัฐบาลเอง เสนอชื่อ 'เศรษฐา ทวีสิน' แคนดิเดตนายกฯ ไม่สนับสนุนแก้ไขมาตรา 112 ยันจะรวบรวมเสียงให้เพียงพออย่างเหมาะสม ยืนยันทำงานการเมืองมิติใหม่ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ-ประชาชน ในภารกิจที่สำคัญ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2566 เวลา 14.15 น.ที่ทำการพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยแถลงข่าวผลการประชุมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยยืนยันว่าได้ปรึกษาหารือกับพรรคก้าวไกลขอถอนตัวจากการร่วมมือกันและเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่ พร้อมเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วม
โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า "เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้จับมือร่วมกับ พรรคการเมืองอีก 6 พรรค รวมเสียงได้ 312 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และเสนอคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้ง 8 พรรคมีข้อสรุปภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยมีความเห็นอย่างชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย ยึดมั่นในการมีสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศและไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาได้ โดยมีเพียง 324 เสียงจากที่ต้องการถึง 376 เสียง ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้สนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างเต็มความสามารถทั้งการอภิปราย และยกมือสนับสนุน 141 เสียง
แต่เนื่องจากปรากฎเงื่อนไขของพรรคการเมืองอื่นๆ และสมาชิกวุฒิสภา ไม่ยอมรับนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล โดยพรรคก้าวไกลรับทราบท่าทีเหล่านี้ แต่ยืนยันไม่ปรับเปลี่ยนนโยบาย จึงเป็นการแน่ชัดว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล จะไม่สามารถผ่านการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งได้
ดังนั้นที่ประชุม 8 พรรคร่วม จึงมีมติส่งมอบภารกิจแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย โดยเห็นชอบแนวทางให้พรรคเพื่อไทย หาเสียงสนับสนุนทั้งจากพรรคการเมืองนอกกลุ่มพรรคร่วมเดิม และสมาชิกวุฒิสภาได้ เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ พรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าเพื่อหาเสีย งสนับสนุนเพิ่มเติมทั้งจาก สว. และ สส. โดยการเชิญหลายพรรคการเมืองเข้าหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย และส่งตัวแทนรับฟังความคิดเห็นสมาชิกวุฒิสภาทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล พบว่านโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังคงเป็นเงื่อนไขหลัก ขณะที่บางพรรคและบางคนแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งที่จะไม่สนับสนุนการร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกลในทุกกรณี
ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทย ได้ปรึกษาหารือกับพรรคก้าวไกลขอถอนตัวจากการร่วมมือกันและเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่ เสนอชื่อ 'นายเศรษฐา ทวีสิน' แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา ทวีสิน ขอยืนยันชัดเจนว่า เราจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วม พรรคเพื่อไทยจะใช้ความพยายามรวบรวมเสียง ให้เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเหมาะสม และพรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและยืนยันจะทำงานการเมืองในมิติใหม่ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชน ในภารกิจที่สำคัญ ดังนี้
1. เราจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอันเป็นต้นเหตุของความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ และก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ของประเทศ โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยเริ่มจากมติ ครม.ในการประชุมครั้งแรก ให้มีการทำประชามติ และจัดตั้ง สสร. ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ รัฐบาลจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งใหม่ภายใต้กรอบกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2. นโยบายที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมได้นำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน อาทิ กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายสุราก้าวหน้า การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพและกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ ฯลฯ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เป็นต้น ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะผลักดันร่วมกับพรรคร่วมเพื่อให้นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนดำเนินการได้ประสบความสำเร็จ
พรรคเพื่อไทย ขอแสดงความจริงใจต่อเพื่อนมิตรทุกพรรคการเมือง และสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งพี่น้องประชาชนว่า นี่คือแนวทางที่จะรักษาสถาบันสำคัญของชาติให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ และช่วยผลักดันความต้องการของประชาชน ภายใต้ข้อจำกัดและเส้นทางที่ยากลำบากนี้ไว้ได้ เพื่อให้ภารกิจนำพาประเทศพ้นวิกฤต สร้างสรรค์ประชาธิปไตย แก้ไขความขัดแย้ง คืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ปลดพันธนาการจากกลไกที่ไม่ปกติให้คืนสู่ความปกติ และใช้ประสบการณ์ และความสามารถของบุคลากรของพรรคเพื่อไทยเร่งแก้วิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยเร็ว ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดจากอำนาจประชาชน จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วไป"
จากนั้นนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีพรรคร่วมรัฐบาลใหม่มีพรรคใดบ้างว่า ประเด็นพรรคร่วมรัฐบาลใหม่มีพรรคใดบ้างจะแถลงข่าวในวันที่ 3 ส.ค. 2566 โดยจะแจ้งเวลาและสถานที่อีกครั้งหนึ่ง ส่วนการหารือในวันนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยแจ้งผลการประชุมทางโทรศัพท์กับ 6 พรรคร่วมแล้ว
ภายหลังการแถลงข่าวของพรรคเพื่อไทย กลุ่มผู้ชุมนุนที่เดินทางมายังพรรคเพื่อไทยในช่วงเวลา 12.00 น. เพื่อแสดงจุดยืนให้พรรคเพื่อไทยไม่ฉีก MOU ผู้ชุมนุมบางส่วนได้มีการเผาหุ่นจำลองสาดด้วยสีแดงบริเวณหน้าพรรคเพื่อไทย ต่อมามีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนำถังดับเพลิงมาฉีดพ่นเพื่อควบคุมสถานการณ์
อนึ่งก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า ในช่วงเวลา 09.30 น. ที่ทำการพรรคเพื่อไทย คณะเจรจาพรรคก้าวไกลเดินทางมาประชุมกับคณะเจรจาพรรคเพื่อไทย หารือในเรื่องทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลโดยจะเป็นการนัดหารือระหว่าง 2 พรรค
ต่อมามีรายงานข่าวว่า ในที่ประชุมดังกล่าว พรรคเพื่อไทยได้ขอให้พรรคก้าวไกล ถอยกรณีการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากบรรดาพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในขั้ว 8 พรรคที่ลงนาม MOU จัดตั้งรัฐบาลปัจจุบัน รวมถึง สว. มีความกังวลในเรื่องนี้ และไม่สามารถที่จะช่วยโหวตนายกรัฐมนตรี ให้กับแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยได้
อย่างไรก็ดีพรรคก้าวไกลยืนยัน ไม่ยอมถอยเรื่องนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ดังกล่าว ทำให้เป็นสาเหตุที่พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องขอสลาย 8 พรรคที่ลงนาม MOU ปัจจุบัน โดยจะไปจับขั้วใหม่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเอง ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ยืนยันหนักแน่นว่า หากจะเข้าร่วมรัฐบาล จะต้องไม่มีการแก้ไขมาตรา 112
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรารายงาน ได้ติดต่อไปยัง นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกลเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า ยังไม่ได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในวันนี้ (2 ก.ค.) จะมีการประชุม ส.ส. ก้าวไกล ก็จะมีความชัดเจนว่ามีข้อสรุปเป็นเช่นไร