สธ.ประชุมวิชาการ บูรณาการแก้ปัญหาโรคไข้เลือดออก ปรับปรุงแนวทางรักษา ป้องกันโรค เพื่อลดความรุนแรง-เสียชีวิต หลังพบระบาดหนัก ผู้ป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 3 เท่า ตายแล้ว 33 ราย ชี้อาการไม่เหมือนที่เคยพบ ทำให้การวินิจฉัยระยะแรกค่อนข้างยาก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กง.คนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการ “Dengue Effective for Treatment and Prevention” การดูแลรักษาและป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างมีประสิทธิภาพ ที่โรงพยาบาล (รพ.) ราชวิถี กรุงเทพมหานคร
นพ.โอภาส กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในปีนี้มีแนวโน้มการระบาดเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ณ ช่วงเวลาเดียวกันเกือบ 3 เท่า รวมทั้งจากข้อมูลการรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก พบว่าระยะหลังมีรายงานการป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในผู้ใหญ่ จากเดิมที่พบบ่อยในเด็ก
ที่สำคัญ รูปแบบอาการไม่เหมือนกับที่เคยพบมา และมีอาการคล้ายกับโรคอื่น ทำให้การวินิจฉัยโรค ในระยะแรกค่อนข้างยาก หากไม่ติดตามสังเกตอาการใกล้ชิดจะทำให้การรักษาล่าช้า ส่งผลให้อาจเกิดความรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดังนั้น การวินิจฉัยโรคให้ได้ให้เร็วที่สุด ร่วมกับการที่ประชาชนสามารถสังเกตอาการของตนเองและคนในครอบครัวได้ จึงมีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยลดการเกิดความรุนแรงของโรค โดยหากมีไข้สูงเฉียบพลันและสูงลอยมากกว่า 2 วัน ห้ามซื้อยากินเอง และควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยทันที
ตามการคาดการณ์และพยากรณ์โรค พบว่าเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 น่าจะเป็นจุดสูงสุดของโรคไข้เลือดออก เพราะจะระบาดช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะช่วงที่ตกบ้างหยุดบ้าง ทำให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้มีผู้ป่วยมากขึ้น อีกปัจจัยคือ ประเทศไทยไม่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกมา 2-3 ปีแล้ว โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประชาชนไม่ค่อยมีการเดินทาง การระบาดของโรคจึงไม่รวดเร็วและไม่กว้างขวาง ซึ่งส่งผลให้คนมีภูมิต้านทานต่อโรคไข้เลือดออกลดน้อยลง ทำให้ปีนี้ คาดการณ์ว่าจะมีการระบาดมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา
“และจากสถิติตัวเลขเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ 2.7 หมื่นคน แต่ดูทั้งหมดแล้วอาจถึง 3 หมื่นกว่าคน ผู้เสียชีวิตก็ 20 กว่าราย มาตรการป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไข้เลือดออกเดงกี มียุงลายเป็นพาหะซึ่งยุงอยู่กับบ้าน บ้านใดมีที่สำหรับยุงวางไข่ มีภาชนะน้ำขังที่เราลืม ยุงลายจะมาวางไข่ ถ้ายุงลายมีเชื้อก็จะมีการระบาดของโรค มาตรการป้องกันสำคัญคือประชาชนต้องสำรวจบ้านตนเองมีภาชนะน้ำขังที่ไม่ได้ดูหรือไม่ ให้เปลี่ยนถ่ายน้ำ อะไรไม่ใช้ก็เอาไปทิ้งตามมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคไข้ปวดข้อยุงลายด้วย” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า วันนี้ กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค ร่วมกับราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดประชุมขึ้น เป็นการประชุมวิชาการมีประเด็นเรื่องการดูแลวินิจฉัย รักษา และการป้องกันโรค โดยเฉพาะการวินิจฉัยและรักษาให้เร็วขึ้นได้อย่างไร เนื่องจากระบาดวิทยาเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมผู้ใหญ่ไม่ค่อยเป็นไข้เลือดออก ระยะหลังเริ่มพบผู้ใหญ่รวมถึงผู้สูงอายุเป็นโรคไข้เลือดออกมากขึ้น การวินิจฉัยในผู้ใหญ่จะสลับซับซ้อนแตกต่างจากเด็ก ความชำนาญของแพทย์ เพราะคิดว่าเป็นโรคในเด็ก ทำให้หมอเด็กจะระมัดระวัง
“ก็ต้องย้ำเตือนว่าผู้ใหญ่ก็เป็นได้ อีกทั้งการวินิจฉัยโรคนั้น ช่วงหน้าฝนมีโรคติดต่อหลายอย่างมาพร้อมกัน ทั้งไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ฉี่หนู ไข้เลือดออก อาการเริ่มต้นคล้ายกัน คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ระยะแรกการวินิจฉัยจะแยกโรคไม่ได้ ไม่ว่าใช้เครื่องมือใดๆ ก็ตาม การติดตามผู้ป่วยเป็นระยะจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัย นอกจากนี้ ระยะหลังพบว่าไข้เลือดออกในผู้ใหญ่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง ย้ำว่าคนมีอาการไข้ ไม่จำเป็นอย่างรับประทานยาที่ทำให้เลือดออกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยาแอสไพริน หรือกลุ่มยาเอ็นเสด ขอให้งดเว้น เพราะหากกินแล้วเกิดเป็นไข้เลือดออกก็จะทำให้เลือดออกง่าย และเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เสียชีวิต ผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังให้ดี จากประเด็นเหล่านี้ จึงเป็นโอกาสดีที่จัดการประชุมวิชาการถ่ายทอดความรู้ใหม่ๆ แก่แพทย์ พยาบาล และผู้เกี่ยวข้องได้ทราบเกี่ยวกับการดูแลรักษาไข้เลือดออกทั้งในผู้ใหญ่และในเด็ก ทำให้มาตรการดูแลรักษาดีขึ้น หวังว่าจะช่วยลดการเสียชีวิตทั้งผู้ใหญ่และเด็กลงได้ รวมถึงอัพเดตเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งการวินิจฉัยและวัคซีน” นพ.โอภาส กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการนำวัคซีนไข้เลือดออกมาใช้ป้องกันโรค นพ.โอภาส กล่าวว่า การใช้วัคซีนแต่ละโรคแต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งเดงกีมี 4 สายพันธุ์ การผลิตวัคซีนต้องครบถ้วนทั้ง 4 สายพันธุ์ และการใช้วัคซีนก็มีความสลับซับซ้อนแตกต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆ เนื่องจากธรรมชาติการเกิดโรคไข้เลือดนั้นการติดเชื้อครั้งแรกอาการมักไม่รุนแรง จะรุนแรงต่อเมื่อติดเชื้อครั้งที่ 2 ต่างสายพันธุ์ แม้จะมีวัคซีนไข้เลือดออกขึ้นทะเบียนในไทยแล้ว แต่การฉีดเป็นวงกว้าง การกำหนดว่ากลุ่มไหนควรฉีด ฉีดเมื่อไร อย่างไร จึงมีความสำคัญมาก เช่น เคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ ความเสี่ยงการเกิดโรคมากน้อยแค่ไหน และระยะเวลาการฉีดเป็นอย่างไร เป็นต้น จึงต้องอาศัยข้อมูลทางระบาดวิทยามาคำนวณ และข้อมูลทางวิชาการมาประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบครบถ้วน
“เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ที่มีการเอาวัคซีนไข้เลือดออกในเชิงพาณิชย์มาใช้ ก็มีการเรียกร้องให้ สธ.เอาวัคซีนมาใช้ในวงกว้าง เราดูข้อมูลแล้วว่าวัคซีนไข้เลือดออกสลับซับซ้อนกว่าวัคซีนโรคติดเชื้ออื่นๆ เราก็พิจารณาแล้วว่ายังไม่ควรจะรีบเอาวัคซีนมาใช้ ซึ่งก็มีประเทศหนึ่งแถบอาเซียนเอามาใช้ในเด็กหลายล้านคน แทนที่จะทำให้การติดเชื้อและเสียชีวิตลดน้อยลง กลับมาทำให้การติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้น ก็เป็นบทเรียนที่เราต้องพิจารณาอย่างครบถ้วน ซึ่งเรามีทีมวิชาการ คณาจารย์ต่างๆ โรงเรียนแพทย์กำลังศึกษาการนำวัคซีนมาใช้ในวงกว้าง คงต้องรอข้อมูลอีกสักระยะหนึ่งที่จะพิจารณาการตัดสินใจ ถ้าเป็นการขอฉีดรายบุคคล ก็ขอให้ปรึกษาแพทย์ที่ดูแล เพราะขึ้นกับความพร้อมและความเหมาะสมของแต่ละคน แต่ย้ำว่าถ้าจะจัดฉีดระดับประเทศต้องพิจารณาข้อมูลต่างๆ อย่างรอบคอบ เรามีคณะทำงานติดตามข้อมูลอยู่” นพ.โอภาส กล่าว
ด้าน นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์มีสถานพยาบาลเฉพาะทางดูแลผู้ป่วยที่ซับซ้อน เช่น รพ.ราชวิถี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือ รพ.เด็ก เป็นต้น และมีภารกิจฝึกอบรมพัฒนาความรู้และทักษะด้านการแพทย์ให้กับบุคลากรทั่วประเทศ ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย สมาคมวิชาชีพ ราชวิทยาลัยต่างๆ พัฒนาคู่มือแนวทางการตรวจวินิจฉัยดูแลรักษาโรคไข้เลือดออกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และจัดกิจกรรมอบรมฟื้นฟูความรู้ด้านการดูแลรักษาโรคไข้เลือดออก ภาวะแทรกซ้อน และความรู้ด้านวัคซีนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพบุคลากรการแพทย์ในการรองรับการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในขณะนี้
ขณะที่ นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -วันที่ 28 มิถุนายน 2566 พบผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสม 27,377 ราย มีรายงานผู้เสียชีวิต 33 ราย โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายน พบผู้ป่วยสัปดาห์ละ 1,500 – 2,400 ราย เสียชีวิตสัปดาห์ละ 1-3 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 5-14 ปี ตามด้วยกลุ่มอายุ 15-24 ปี
“ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้เพิ่มกลยุทธ์เพื่อควบคุมจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกในประเทศ โดยเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนในชุมชนต่างๆ ในการป้องกันตนเอง การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์โรค ร่วมกับมาตรการการเฝ้าระวัง การสอบสวนโรค การประเมินแนวโน้มพื้นที่การระบาดของโรคหรือความชุกชุมของแหล่งโรค เพื่อประกาศเป็นโรคระบาดเฉพาะพื้นที่และวางมาตรการตอบโต้ รวมทั้งเน้นการควบคุมโรคให้เหมาะกับบริบทพื้นที่โดยเฉพาะ” นพ.นิติ กล่าว