ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 'ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ' 2 ปี หลังยื่นคำร้องขอเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา คดีถูก 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' ฟ้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กลั่นแกล้งกล่าวหาใช้อาวุธสลายชุมนุม นปช.ปี 2553 อ้างเพิ่งได้รับหลักฐานใหม่ อดีต กปปส. เกี่ยวข้องผู้พิพากษา ห่วงไม่ได้รับความเป็นธรรม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2566 เวลาประมาณ 18.25 น. ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 2 ปีไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเจตนากลั่นแกล้ง ให้ถูกดำเนินคดี กรณีแจ้งข้อหา อภิสิทธิ์ - สุเทพ สั่งสลายการชุมนุม ปี 2553 ให้คุมตัวเข้าเรือนจำทันที ส่วนอีก 4 คน ยกฟ้อง
ทั้งนี้ในช่วงเช้าวันที่ 10 ก.ค.2566 ที่ผ่านมา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยื่นฟ้องนายธาริต และชุดพนักงานสอบสวนดีเอสไอรวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษทางอาญา จากการกล่าวหาว่าใช้อาวุธสั่งฆ่าประชาชนกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 หลังจากเลื่อนฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา มาแล้ว 10 ครั้ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพ
นายธาริต กล่าวก่อนขึ้นฟังคำพิพากษาว่า เช้าวันนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาโต้แย้งคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาชุดเดิมที่ได้พิจารณาคดีนี้ เนื่องจากเพิ่งได้รับหลักฐานที่เชื่อได้ว่านายสุเทพ ในฐานะอดีตแกนนำ กปปส. มีความเกี่ยว ข้องกับอดีตประธานศาลฎีกา และผู้พิพากษาอีกจำนวนหนึ่ง อีกทั้งนายสุเทพ ได้เคยยื่นฟ้องว่านายธาริต กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษในคดีทุจริตก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน จึงเชื่อว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีนี้อีก คำร้องครั้งนี้ได้ขอให้ศาลฎีกาทบทวนคำพิพากษา และให้เข้าในองค์ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทบทวนคำพิพากษา ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย รวมทั้งไม่เชื่อมั่นในอดีตประธานศาลฎีกา และผู้พิพากษาบางคน
"หากวันนี้ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ ก็อาจจะส่งผลต่อคดีของกลุ่ม นปช.ที่ปัจจุบันที่ผ่านมาแล้ว 13 ปี ที่ไต่สวนสาเหตุการตายไปเพียง 27 คนจาก 99 คน ส่วนบางคดีพนักงานสอบสวนยุติการทำคดีไปแล้ว เนื่องจากไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด และบางส่วนเมื่อถึงชั้นอัยการศาลทหารก็สั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว ทั้งที่มีพยานหลักฐานว่าการไต่สวนสาเหตุการตายว่ามาจากกระสุนฝ่ายทหาร" นายธาริต กล่าว
นายธาริต ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และนายราเมศ รัตนะเชวง ออกมาระบุว่า เลอะเลือนที่ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่า คดีนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ คดีของกลุ่ม นปช. ที่ออกมาเคลื่อนไหวซึ่งขณะนั้นก็ได้แจ้งข้อกล่างหาดำเนินคดีกับแกนนำที่กระทำความผิดแล้วอีกส่วนคือ การดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ที่พบหลักฐานว่าเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธจริงในการควบคุมสถานการณ์ จึงเห็นว่านานิพิฏฐ์ และนายราเมศ เป็นนักการเมืองที่บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมกับตั้งคำถามกลับว่าใครกันแน่ที่เลอะเลือน
นายธาริต ยังระบุด้วยว่า ส่วนกรณีที่สำนักงานป.ป.ช. มีมติว่านายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว ไม่ใช่ว่าจะยังไม่มีความผิด เพราะหลังจากศาลฎีกายกฟ้องคดีแล้ว ได้ส่งสำนวนให้สำนักงาน ป.ป.ช.ไปไต่สวนอีกครั้ง ก่อนที่จะให้กลับมายื่นฟ้องใหม่ พร้อมขอให้สื่อมวลชนไปติดตามกับ ป.ป.ช.ว่าคดีดังกล่าวไปถึงไหนแล้ว
"วันนี้หากตัดสินว่าตัวเองมีความผิด ก็จะถือว่ารับรองการออกคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ใช้อาวุธจริงสลายการชุมนุมเป็นไปด้วยชอบแล้ว รวมทั้งผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และผู้เสียชีวิต 99 คน ก็จะไม่ได้รับโอกาสลดใช้ค่าเสียหาย และตัวเองก็ต้องโทษจำคุก" นายธาริตกล่าว
และย้ำว่า "การยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาพิจาณาในวันนี้ไม่ใช่การประวิงเวลา แต่เพิ่งได้รับหลักฐานมาจึงต้องร้องให้ตรวจสอบ ส่วนจะต้องใช้เวลาอีกนานหรือไม่ในการพิจารณาคำร้อง ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลฎีกา นอกจากนี้ก็ได้ส่งคำร้องขอให้ศาลฎีกา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความการฟ้องตามกฎหมายมาตรา 157 และ 200 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อีกหนึ่งคำร้อง"
อย่างไรก็ดี ในการอ่านคำพิพากษาคดีนี้ ศาลฯ ได้เลื่อนฟังคำพิพากษา เป็นเวลา 14.30 น. แทน เหตุจำเลยยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณา 2 เรื่อง คือ ให้ศาลฎีกาพิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ เรื่องกฎหมายที่โจทก์ฟ้อง ม.157 และ 200 และคำร้องที่เช้าวันนี้ขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา