ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'พิทยาพร หรือพิชญากร เอี่ยมสะอาดหรือพิบลูย์' อดีตจนท.ปกครอง 3 ฝ่ายทะเบียนบัตร อำเภอแม่แตง เชียงใหม่-พวก ทุจริตเพิ่มรายชื่อบุคคลในทะเบียนราษฎร-ลงรายการสัญชาติไทย ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโทษคุก 16 เดือน ไม่รอลงอาญา-ด้านเจ้าตัวยืนยันเป็นผู้บริสุทธิ์ ยื่นฎีกาสู้คดีต่อ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นางพิทยาพรหรือพิชญากร เอี่ยมสะอาดหรือพิบลูย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปกครอง 3 ฝ่ายทะเบียนและบัตร อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ทุจริตเกี่ยวกับการเพิ่มรายชื่อบุคคลในทะเบียนราษฎร (ท.ร. 13) และลงรายการสัญชาติไทย (ท.ร. 14 ) ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม ป.อ. มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561
ความคืบหน้าคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่พิพากษาว่า นางพิทยาพรหรือพิชญากร เอี่ยมสะอาดหรือพิบลูย์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91
จำคุกกระทงละ 1 ปี พยานหลักฐานของจำเลยให้ ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78
คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมสองกระทงเป็นจำคุก 16 เดือน
ทั้งนี้ คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้ได้อีก
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่ฎีกาคำพิพากษาดังกล่าว
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต่อมา สำนักข่าวอิศรา ได้รับการติดต่อจากตัวแทนของ นางพิทยาพร หรือพิชญากร เอี่ยมสะอาดหรือพิบลูย์ ยืนยันว่า นางพิทยาพร หรือพิชญากร เป็นผู้บริสุทธิ์ และได้ยื่นฎีกาสู้คดีนี้ไปแล้ว
ตัวแทนของ นางพิทยาพร หรือพิชญากร เอี่ยมสะอาดหรือพิบลูย์ ระบุว่า "ทางผู้ถูกกล่าวหามีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเองมาตลอด เพราะว่าการถูกกล่าวหาดังกล่าวก็ไม่พบความเสียหายใดๆ ที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหาย ทั้งภาครัฐและเอกชน และการรับคำร้องของบุคคลพื้นที่สูงหรือคนไทยภูเขาทั้งสองคำร้อง,ในการขอสัญชาติไทยนั้นก็ไม่ปรากฎว่ามีการถอนสัญชาติไทยมาตั้งแต่ต้น และก็ทราบกันดีว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นเพียงข้าราชการระดับ 3 เท่านั้น ผู้ที่มีอำนาจชี้ขาดการให้สัญชาติไทยแก่บุคคลใด,คนหนึ่ง,จะต้องเป็นนายอำเภอคนเดียวเท่านั้นที่เป็นนายทะเบียนชี้ขาดการให้สัญชาติไทยโดยตำแหน่งนายทะเยียน,ซึ่งก็ไม่ใช่ปลัดอำเภอฝ่ายปกครองระดับ 7 ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับ 9 คือนายอำเภอ"
"ข้าพเจ้าเป็นเพียงข้าราชการฝ่ายปกครองระดับ 3 และเป็นผู้รับเรื่องคำร้องและตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นเท่านั้น,และส่งเรื่องให้ผู้กลั่นกรองเอกสารอีกชั้นหนึ่งคือปลัดอำเภอฝ่ายปกครอง 7 จากจึงส่งให้นายอำเภอซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายทะเบียนอันแท้จริงพิจารณาอนุมัติ จะเห็นได้ว่าข้าพเจ้าเป็นเพียงราชการตัวเล็กๆ คนหนึ่งมีอำนาจไปอนุมัติสัญชาติได้อย่างไร แต่ถูกสังคมพิพากษาไปแล้ว และบุคคลที่ยื่นขอสัญชาติไทยนั้นก็ไม่ได้ถูกเพิกถอนสิทธิการเป็นคนไทยแต่อย่างใด จนถึงปัจจุบันนี้ เขาเป็นบุคคลที่สมควรได้รับสัญชาติไทยด้วย แต่ดิฉันเป็นเพียงข้าราชการฝ่ายปกครองระดับ 3 ต้องมาถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดให้ดิฉันต้องมีมลทินชีวิต ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตนเองอย่างไม่เป็นธรรมแบบนี้" ตัวแทนอ้างคำชี้แจงของ นางพิทยาพร หรือพิชญากร เอี่ยมสะอาดหรือพิบลูย์
อ่านประกอบ :