WHO ชูไทยเป็นผู้นำคุมยาสูบระดับโลก ย้ำต้องคุมห้ามนำเข้า-ขายบุหรี่ไฟฟ้า-บุหรี่รูปแบบใหม่ทุกชนิด ตัดไฟแต่ต้นลม พร้อมเสนอขึ้นภาษียาเส้น กระจายงานควบคุมยาสูบลงพื้นที่ผ่านจังหวัด อปท. หนุนไทยเข้าร่วมพิธีสารขจัดบุหรี่เถื่อน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ดร.เอเดรียนา บลังโก มาร์กิโซ (Dr. Adriana Blanco Marquizo) หัวหน้าสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO Framework Convention on Tobacco Control : WHO FCTC) และคณะ ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสรุปผลการประเมินความจำเป็น (Needs Assessment) การดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกของไทย
ดร.เอเดรียนา เปิดเผยภายหลังว่า ตนและคณะได้เดินทางมาไทยระหว่างวันที่ 12-16 มิ.ย. 2566 เพื่อประเมินความจำเป็น (Needs Assessment) ในการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ทั้งการทบทวนกฎหมาย ยุทธศาสตร์ นโยบาย มาตรการควบคุมยาสูบของไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงานควบคุมยาสูบของไทยจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ คณะกรรมควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การสหประชาชาติ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และภาคีเครือข่ายด้านการควบคุมยาสูบของไทย โดยใน 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ไทยเป็นภาคีต่อ WHO FCTC ได้ดำเนินตามกรอบอนุสัญญาฉบับนี้เป็นที่ประจักษ์และเป็นผู้นำในการควบคุมยาสูบทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก
“องค์การอนามัยโลก ขอสนับสนุนให้รัฐบาลใหม่ของไทยคงมาตรการห้ามนำเข้าและขายบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใหม่ทุกชนิด ควรรักษากฎหมายนี้ต่อไป และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศที่มีรายได้ปานกลางอย่างไทย และควรเร่งรณรงค์พิษภัยของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าในระบบการศึกษา นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญถึงการป้องกันการแทรกแซงโดยอุตสาหกรรมยาสูบตามแนวปฏิบัติข้อ 5.3 ของกรอบอนุสัญญาฯ ทั้งในกลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการที่มีหน้าที่ในการกำหนดและปฏิบัติตามนโยบายเพื่อการควบคุมยาสูบ” ดร.เอเดรียนา กล่าว
ดร.เอเดรียนา กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการทางภาษีไทยควรวางแผนภาษียาเส้นระยะยาว และปรับโครงสร้างฐานภาษีให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อและคำนึงถึงด้านสุขภาพเป็นสำคัญตามแนวปฏิบัติข้อที่ 6 มาตรการราคาและภาษีของ FCTC ขณะนี้ไทยจัดเก็บภาษียาเส้นในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับบุหรี่ซิกาแรต ยาเส้นที่มีปริมาณการผลิตไม่เกิน 12,000 กิโลกรัมต่อปี เก็บภาษี 0.025 บาทต่อกรัม ส่วนยาเส้นที่มีปริมาณการผลิตเกิน 12,000 กรัมต่อปี เก็บภาษี 0.10 บาทต่อกรัม ทำให้ราคาขายปลีกยาเส้นต่อซองต่ำกว่าบุหรี่ซิกาแรต 5-6 เท่า โดยให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการคลัง จัดทำอัตราภาษีใหม่ที่เหมาะสมกับและสอดคล้องกับการเจ็บป่วยจากโรคที่เกิดจากยาสูบ”
ดร.เอเดรียนา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ควรส่งเสริมงานควบคุมยาสูบให้กระจายลงพื้นที่ โดยดำเนินการผ่านคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มาตรการและบริการต่าง ๆ ลงสู่ประชาชนในพื้นที่มากขึ้น และสนับสนุนให้ไทยให้สัตยาบันต่อพิธีสารว่าด้วยการขจัดการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย เพราะปัญหาบุหรี่เถื่อนระบาดหนักมากขึ้นในไทย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและกระทบต่อรายได้จากการจัดเก็บภาษียาสูบของไทย และสนับสนุนบริการรักษาการเลิกสูบบุหรี่อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ หากไทยสามารถดำเนินการครบทุกมาตรการที่เสนอแนะ ส่งผลให้ไทยสามารถควบคุมและป้องกันปัญหาจากยาสูบทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลไทยต้องการให้อัตราการสูบยาสูบลดลง 14% ภายในปี 2570
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกเคยประเมินสมรรถนะการควบคุมยาสูบของประเทศไทยเมื่อปี 2551 มีข้อเสนอให้ไทย
-
ขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตตามการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพ
-
ขึ้นภาษียาเส้นมวนเองให้สูงขึ้น
-
ปรับกฎหมายให้ห้ามสูบบุหรี่ในทุกพื้นที่สาธารณะ
-
จัดบริการให้คำปรึกษาเพื่อเลิกบุหรี่ในระบบบริการปฐมภูมิ
-
กำหนดแผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ โดยเพิ่มความเข้มแข็งของการควบคุมยาสูบทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
-
สร้างบุคลากรควบคุมยาสูบรุ่นใหม่
-
เพิ่มการรณรงค์พิษภัยยาสูบผ่านสื่อหลัก
ศ.นพ.ประกิต กล่าวด้วยว่า ไทยได้ดำเนินการตามข้อแนะนำหลัก ๆ เช่น การมีแผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ การกำหนดในกฎหมายให้มีคณะกรรมการควบคุมยาสูบจังหวัด แต่ยังมีบางเรื่องที่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เช่น แผนการขึ้นภาษียาเส้นมวนเอง การบริการรักษาการเลิกสูบบุหรี่ที่ยังไม่เข้มแข็ง และยังขาดงบประมาณรณรงค์พิษภัยยาสูบผ่านสื่อต่าง ๆ
ทั้งนี้ การประเมินความต้องการในการเพิ่มความเข้มแข็งของการควบคุมยาสูบของไทยครั้งนี้ จะได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนงานควบคุมยาสูบ เพื่อลดจำนวนคนสูบบุหรี่ให้เหลือน้อยที่สุดต่อไป
ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า ข้อมูลล่าสุดมีประเทศห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 32 ประเทศเมื่อ 2 ปีก่อน เพิ่มเป็น 37 ประเทศ และอีก 2 เขตปกครองพิเศษ ประเทศที่เพิ่มขึ้นคือ นอร์เวย์ สปป.ลาว มอริเชียส วานูวาตู ปาเลา กาบูเวร์ดี และเขตปกครองพิเศษ ฮ่องกง และไต้หวัน ขณะที่มาเลเซียที่เคยถูกจัดอยู่ในประเทศที่ห้ามขาย เนื่องจากหลายรัฐมีการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ปัจจุบันมาเลเซียอนุญาตให้บุหรี่ไฟฟ้าขายได้ภายใต้การควบคุมแล้ว
ส่วนแนวโน้มคือประเทศต่าง ๆ ทยอยออกกฎหมายห้ามขายและห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อป้องกันวัยรุ่นจากการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า ทำได้ง่ายกว่าการเปิดให้ขายได้ถูกกฎหมาย ดังที่ประเทศที่อนุญาตให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้ประสบปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่น จึงอยากขอให้รัฐบาลใหม่ยังคงกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าของไทยไว้ และมีการบังคับใช้กฎหมายห้ามขายอย่างเข้มงวด ซึ่งจะป้องกันเด็กและเยาวชนจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ดีกว่า
จากการสำรวจล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 ชายไทยอายุมากกว่า 15 ปี ยังสูบบุหรี่สูงถึง 34.7% และผู้หญิง 1.3% ขณะที่คนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ปีละ 62,343 คน ตามข้อมูลจากการวิจัยของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และเสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง 9,434 คนต่อปี
ตามรายงานของสถาบันเพื่อการวัดและประเมินผลด้านสุขภาพ มหาวิทยาลัยวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา (Institute for Health Metrics and Evaluation : IHME) รวมถึงค่าใช้จ่ายรักษาโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่มากกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในปี 2562 และหากรวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการเจ็บป่วยที่ขาดรายได้และเสียชีวิตก่อนเวลาจะสูงถึงมากกว่า 2 แสนล้านบาท