ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 12 เยาวชนปลดแอก 2 เดือน ผิดโทษฐานปลุกระดมให้ประชาชนทำผิดกฎหมาย แต่ให้ลงอาญาไว้ก่อน 2 ปี เหตุไม่เคยทำผิด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 ศาลอาญาได้ออกเอกสารข่าวแจก มีใจความวา ตามที่ปรากฎเป็นข่าว กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอกจัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมือง กรณีดังกล่าว จากกรณี ในวันที่ 18 ก.ค.2563 ตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้หัวข้อเรื่อง “ใครไม่ทนให้ไปกันที่อนุสารีย์ประชาธิปไตย”ต่อมาพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบสอง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1668/2564 และคดีหมายเลขดำที่2762 /2562คดีสองสำนวนนี้ศาลรวมการพิจารณา จำเลยทั้งสิบสองให้การปฏิเสธ
ศาลอาญาพิจารณาแล้ว การที่จำเลยทั้ง 12 ราย เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมลงมาบน ถ.ราชดำเนินกลาง ในลักษณะเดินลงมาบนพื้นผิวจราจรเต็มพื้นที่บน ถ.ราชดำเนินกลางบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์และติดตั้งเวทีบน ถ.ราชดำเนินกลาง บริเวณขอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และที่ 10 และที่11 ได้สลับกันขึ้นพูดปราศรัยบนเวทีโดยไม่ได้คำนึงว่าจะเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายใดๆ อันเป็นการแสดงให้ปรากฎต่อประชาชน ด้วยวาจาหนังสือ หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำ ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
แต่ลักษณะการกระทำยังไม่ส่อเจตนาว่าเป็นการทำถึงขนาด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร พิพากษาว่า จำเลยทั้งสิบสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 19,57 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง 1(8)วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3 ),215 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้ง12 ราย เป็นความผิดหลายกรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดบนถนน อันเป็นการกีดขวางการจราจร และกีดขวางทางสาธารณะ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 19,57 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับจำเลยทั้งสิบสองคนละ 1,000 บาท ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นกระทำให้เกิดกางวุ่นวายในบ้านเมือง กับฐานกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ลงโทษฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุกจำเลยทั้งสิบสองคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000.บาท ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสิบสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
ยกฟ้องความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯและฐานใช้ เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนา 19 จึงสามารถจัดกิจกรมการชุมนุมได้เพียงแต่ข้อกำหนดฯบังคับให้ผู้จัดการชุมนุมต้องมีมาตรการป้องกันโรคเท่านั้น และการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมเท่านั้น
พยานหลักฐานโจทก็รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบสองเป็นผู้จัดการชุมนุม จึงไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯและไม่มีความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดว่จำเลยคนใดเป็นผู้กระแทกแผงเหล็กใส่ผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ไม่ได้
ในส่วนของจำเลยที่ 9 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่าข้อความตามป้ายที่จำเลยที่ 9 ถ่ายภาพโพสต์ลงในเฟสบุ๊คยังไม่ถึงขนาดที่จะส่อเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร จำเลยที่ 9 จึงไม่มีความผิดตาม พรบ ว่าด้วยการกรทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ