ปปป.สนธิกำลัง ป.อ.ท. ป.ป.ช. ปปง. บุกจับนายอำเภอแม่วงก์ รับสินบนเปิดบ่อนไก่ชนเดือนละ 3,000 บาท เจ้าตัวอ้างเป็นค่าดูแลเบื้องต้น ให้การปฏิเสธ เตรียมส่ง ป.ป.ช.ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป-ขณะ ผบก.ปปป.เผย ผู้เสียหายเป็นหนึ่งในบ่อน แบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว เลยมาแจ้งความ เล็งสอบขยายผล 30 วัน คาดมี ขรก.ปกครองระสูงมีเอี่ยว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าข่าวกรณีที่พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.(ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ) พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม รอง ผบก.ปปป. พ.ต.อ.สมบัติ มาลัย ผกก.2 บก.ปปป. พ.ต.อ.อภิชาติ เรนชนะ ผกก.4 บก.ปปป. นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. นำกำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจบก.ปปป. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จังหวัดนครสวรรค์ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ เจ้าหน้าที่ ปปง. จับกุม นายประสิทธิ์ พัฒนสิทธิชีวิน นายอำเภอแม่วงก์ ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินโดยมิชอบ ,เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ภายในห้องทำงาน ที่ว่าการอำเภอแม่วงก์ ต.แม่วงก์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์
ในฐานความผิดที่นายประสิทธิ์ได้เรียกเก็บเงินจากผู้ประกอบการสนามไก่ชนแห่งหนึ่งในพื้นที่แลกกับการออกใบอนุญาต (พ.น.4) เพื่อให้สามารถจัดการเล่นการพนันได้ โดยเรียกเก็บเป็นรายเดือน เดือนละ 3,000 บาท ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว การขอใบอนุญาตดังกล่าวจะเสียค่าธรรมเนียม สังเวียนละ 220 บาท ต่อเดือน ซึ่งสนามชนไก่ของผู้เสียหาย มี 6 สังเวียน จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงแค่ 1,320 บาทต่อเดือน แต่ที่ต้องเรียกเก็บเพิ่มนั้น นายประสิทธิ์ อ้างว่าเป็นค่าดูแล (ดูวิดีโอประกอบด้านล่าง)
โดยเมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. นายศรชัย ชูวิเชียร ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ปปท. น.ส.สุปราณี สถิตชัยเจริญ รองโฆษก ปปง. ร่วมแถลงข่าวจับกุม นายอำเภอแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ (นายประสิทธิ) ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือ ยอมรับทรัพย์ หรือประโยชน์อื่นใด โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ ข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 โดยจับกุมได้ที่ อาคารทำการอำเภอแม่วงก์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของบ่อนไก่ชน ในพื้นที่ อ.แม่วงก์ ว่าถูกนายอำเภอคนดังกล่าว กดดันบังให้จ่ายส่วย เดือนละ 3,000 บาท และบังคับให้จ่ายเงินล่วงหน้า อีก 3 เดือน รวม 4 เดือน 12,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าทำเนียมการเปิดบ่อนไก่ชน หากไม่ยอมจ่ายจะต้องเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายจ่ายไปแล้ว 3 เดือน เป็นเงิน 9,000 บาท ซึ่งอ้างว่าจะนำเงินจำนวนนี้ไปปรับปรุงสนามหญ้าหน้าที่ว่าการอำเภอ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ในพื้นที่อำเภอแม่วงก์ มีบ่อนไก่ชนทั้งสิ้น 17 แห่ง ผู้เสียหายเป็นหนึ่งในทั้งหมดที่รับความกดดันไม่ไหว โดยผู้เสียหายระบุว่า บ่อนไก่ชนขาดทุนมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว แต่ต้องหาเงินมาจ่ายส่วยเพื่อเลี้ยงใบอนุญาต เดือนละ 3,000 บาท หนำซ้ำยังต้องจ่ายเงินล่วงหน้า อีกกว่าหมื่นบาท จึงสู้ไม่ไหวอีกต่อไป เหมือนถูกบังคับขูดรีด ทั้งที่ในแต่ละเดือนต้องจ่ายค่าใบอนุญาตถูกกฎหมายไปแล้ว อีกทั้งยังถูกข้าราชการระดับจังหวัดกดดันให้จ่ายอีกด้วย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุอีกว่า เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าเงินดังกล่าวเป็นเพียงค่าธรรมเนียมที่ทางบ่อนไก่ชนจะต้องจ่าย แต่จากการตรวจสอบของ ปปป.พบว่า ค่าทำเนียมดังกล่าวไม่มีการออกใบเสร็จให้กับผู้เสียหาย ดังนั้นการกระทำของนายอำเภอคนนี้จึงเข้าข่ายความผิดในข้างต้น รวมแล้ว 2 กรรม ต่างกรรมต่างวาระ ครั้งแรก คือการเรียกรับเงินจำนวน 3,000 บาท เป็นเวลา 4 เดือน แต่ผู้เสียหายมีจ่ายเพียง 3 เดือน เป็นเงิน 9,000 บาท จึงค้างจ่ายอีก 1 เดือน ปรากฎว่านายอำเภอคนนี้ ได้โทรศัพท์กดดัน ให้ผู้เสียหายนำเงินมาจ่ายจาก 1 เดือนที่ติดค้าง มาจ่ายพร้อมเรียกรับเงินค่าทำเนียมล่วงหน้าอีก 3 เดือน รวมเป็น 4 เดือน วงเงิน 12,000 บาท ผู้เสียจึงสุดทนร้องเรียน ปปท.ให้เข้าดำเนินการ ก่อนที่จะถูกซ้อนแผน โดยการให้ผู้เสียหายนำเงินไปจ่ายและถ่ายสำเนาแบงค์เอาไว้เป็นหลักฐาน จนเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าสังเกตการณ์โดยรอบ เข้าจับได้คาห้องทำงาน พร้อมของกลางเงินสด 12,000 บาท อยู่ในกระเป๋ากางเกงของนายอำเภอ เมื่อนำมาเปรียบเทียบก็พบว่าตัวเลขธนบัตรตรงกันทุกฉบับ จึงคุมตัวพร้อมแจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวมาสอบปากคำที่ บก.ปปป.
ด้านนายศรชัย กล่าวว่า หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของ ปปป. ต้องทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล โดยมีกรอบระยะเวลา 30 วัน ซึ่งตนเชื่อว่า การขยายผลครั้งนี้ อาจมีการออกหมายจับข้าราชการฝ่ายปกครองระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เพราะผู้เสียหายยืนยันว่านอกจากนายอำเภอแล้วยังมีข้าราชการระดับจังหวัดกดดันให้จ่ายเงินด้วย
นายภูมิวิศาล ระบุว่า หลังจากนี้หน่วยงาน 4 ป. จะบูรณาการณ์ร่วมกัน เพื่อตรวจสอบข้าราชการผู้มีอำนาจ มีใช้อำนาจในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ทำให้ภาพลักษณ์ข้าราชการเสียหาย หากพบการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด