ศาลอาญาคดีทุจริตฯยกฟ้องสภา ม.รามรำแหง ปมลงมติถอดถอน 'สืบพงษ์ ปราบใหญ่' จากอธิการบดี ชี้ไร้เจตนาพิเศษเสนอชื่อบุคคลนอกชิงนายกสภาฯ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 7/2565 ที่นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ โจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมบูรณ์ สุขสำราญ ศาสตราจารย์ สมบูรณ์ สุขสำราญ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำหน้าที่แทนนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง กับพวกรวม 16 คน (คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง)จำเลย ข้อหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีร่วมกันมีมติถอดถอนโจทก์ ออกจากตำแหน่งอธิการบดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ครั้งที่ 15/2564 จําเลย ทั้ง16 ลงมติถอดถอนโจทก์ออกจากตำแหน่งอธิการบดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีมูลเหตุจูงใจพิเศษว่าไม่ต้องการให้บุคคลที่โจทก์เสนอชื่อเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ.2541มาตรา 23(6) อธิการบดีพ้นจากตำแหน่งเมื่อสภามหาวิทยาลัย มีมติให้ถอดถอน และมาตรา 18 ให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของ มหาวิทยาลัย โดยมาตรา 18(7) ให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเสนอเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งและถอดถอนอธิการบดีสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยจำเลยทั้ง 16 กรรมการสภา มหาวิทยาลัยเสียงข้างมากจึงมีอำนาจหน้าที่ในการถอดถอนโจทก์
ส่วนการเสนอชื่อเพื่อทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ถอดถอนอธิการบดีนั้นเป็นเพียงขั้นตอนหลังจากที่สภามหาวิทยาลัยมีมติให้ถอดถอนอธิการบดีแล้ว สำหรับการกระทำอันเป็นเหตุที่สภามหาวิทยาลัยจะถอดถอนอธิการบดีนั้น ไม่มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งอื่นใดบัญญัติไว้ โดยที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงครั้งที่ 15/2564 เห็นว่าการที่โจทก์ในฐานะอธิการบดีมิได้เรียกประชุมสภามหาวิทยาลัยตามที่กรรมการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง 8 คนร้องขอ และที่โจทก์มอบหมายให้เลขานุการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงมีหนังสือขอเลื่อนการประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงครั้งที่ 14/2564 ซึ่งประธานในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงครั้งที่ 13/2564ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นการจงใจ ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยการประชุมสภามหาวิทยาลัย พ.ศ. 2541 ข้อ 4 ประกอบข้อ 3 วรรคสอง และโจทก์ไม่มีอำนาจที่จะเลื่อนการประชุมสภามหาวิทยาลัยได้ กรณีจึงมีเหตุ แห่งการถอดถอนโจทก์
ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 16 มิได้ให้โจทก์มีโอกาสที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง นั้น เห็นว่า ความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 มิได้อาศัยเพียงการที่เจ้าพนักงานหรือเจ้าพนักงานของ รัฐปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
แต่ผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริตด้วยจึงจะเป็นความผิด เมื่อคำว่า “การให้พ้น จากตำแหน่ง” ตามข้อ 1 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2(พ.ศ.2540) ออกตามความใน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กฎหมายมิได้ให้คำนิยามหรือความหมายไว้เป็นการเฉพาะ ทั้งในขณะที่จำเลยทั้ง 16 ลงมติและมีคำสั่งถอดถอนโจทก์นั้น
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดหรือมีมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยว่าการให้พ้นจาก ตำแหน่งตามมาตรา 30 วรรคสอง (5) แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ประกอบข้อ 1 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2540) ออกตามความใน พรบ.วิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ใช้บังคับเฉพาะกรณีการพ้นจากตำแหน่งหนึ่งไปสู่อีกตำแหน่งหนึ่ง มิใช่ เป็นการพ้นจากตำแหน่งที่มีผลเป็นการถาวรและเด็ดขาด
ส่วนมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง สูงสุด ครั้งที่ 22/2565 เกิดขึ้นภายหลังจากที่จำเลยทั้งสิบหกมีมติและมีคำสั่งถอดถอนโจทก์อันเป็น มูลเหตุคดีนี้ สำหรับมูลเหตุจูงใจอันเป็นเจตนาพิเศษนั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากลุ่มของจำเลยได้เสนอ ให้โจทก์เสนอชื่อบุคคลใดดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย ส่วนข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าด้วยการสรรหานายกสภามหาวิทยาลัย พ.ศ. 2564 อธิการบดียังคงมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลผู้สมควร ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย
พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจึงยังไม่พอฟังได้ว่า การที่จำเลยทั้ง16 มีมติถอดถอนโจทก์มีมูลเหตุจูงใจอันเป็นเจตนาพิเศษจากการที่จำเลยทั้ง 16 ไม่พอใจ โจทก์ที่เสนอชื่อบุคคลที่อยู่นอกกลุ่มของจำเลยให้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงตามที่ โจทก์ฟ้องการลงมติถอดถอนโจทก์ของจำเลยทั้ง 16 จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงและไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง