ศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง กกต. 4 คดี ชี้ปมประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง ‘กทม.-สุโขทัย-สกลนคร’ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2566 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในที่คดีที่ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม. , คดีที่นายพัฒนา สัพโส ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.สกลนคร , คดีที่นายวิรัตน์ วิริยะพงษ์ ผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ใน จ.สุโขทัย และคดีที่นายพัฒ ตั้งเบญจผล ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์จาก จ.สุโขทัย ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)กรณีขอให้เพิกถอนประกาศ กกต.เรื่องแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ประกอบเป็นเขตเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร , จ.สกลนคร และ จ.สุโขทัย ลงวันที่ 16 มี.ค.2566 ตามลำดับ
โดยให้เหตุผลว่า เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้ง ต่อจำนวน ส.ส.1 คน เป็นตัวตั้ง ทั้งในเขตพื้นที่ของ กรุงเทพมหานคร จ.สกลนคร และ จ.สุโขทัย ตาม ประกาศกกต.เรื่องแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ประกอบเป็นเขตเลือกตั้งลงวันที่ 16 มี.ค.2566 จำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้ง ในแต่พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร จ.สกลนคร และ จ.สุโขทัย มีจำนวนไม่มาก หรือ มีจำนวนไม่น้อย กว่าร้อยละ 10 ของค่าเฉลี่ยจำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้ง 162,766 คน ต่อจำนวน ส.ส.1 คน จนเกินไป
การที่ กกต.ออกประกาศ กกต.เรื่องแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ประกอบเป็นเขตเลือกตั้งลงวันที่ 16 มี.ค.2566 ในส่วนของกรุงเทพมหานคร 33 เขตเลือกตั้ง จ.สกลนคร 7เขตเลือกตั้ง และ จ.สุโขทัย 4เขตเลือกตั้ง จึงเป็นการประกาศที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 86 (5) ที่กำหนดว่า จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน จึงพิพากษายกฟ้อง
ด้านนายอรรถวิชช์ กล่าวภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า กรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของกกต. ศาลพิพากษายกฟ้องก็เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า กกต.สามารถใช้กำหนดระเบียบ คือ การแบ่งเขตต้องแบ่งให้มีความใกล้เคียงกันแต่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์จะแบ่งให้ได้ใกล้เคียงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ กกต.ใช้เกณฑ์ 10 เปอร์เซ็นต์ในการมาบอกความใกล้เคียงแต่ละเขตนั้น ค่าเฉลี่ยส.ส. 1 คนต่อราษฎร ถ้าต่างกันเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราก็สู้มาโดยตลอดว่าเกณฑ์นี้มันเป็นการทำให้ละลายเขตเลือกตั้ง
“แต่ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้เห็นชัดอีกว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของกกต. เรื่องการกำหนดค่าเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ กกต.สามารถทำได้ นั่นก็เท่ากับว่าในอนาคตข้างหน้าการลงพื้นที่ของส.ส.ทุกคน ก็จะมีโอกาสถูกแบ่งพื้นที่ใหม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ของพรรคการเมือง แต่ก็แล้วแต่ว่ากกต.จะแบ่งแบบไหน” นายอรรถวิชช์ กล่าว
เมื่อถามว่าคำพิพากษาดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งหรือไม่ นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนก็คงจะสับสนว่าทำไมการเลือกตั้งเขต หรือแขวง ของประชาชนทำไมมันไปปนกับเขตใหม่ ซึ่งเหตุผลที่ตนได้นำเสนอกับศาลและกกต.ตนบอกว่าเขตเลือกตั้งทั้ง 33 เขตในกทม. มีแค่ 4 เขตเท่านั้นที่เหมือนเดิม และได้เปรียบเทียบกับการเลือกตั้งปี 2554 - 2557 ที่เป็นระบบการเลือกตั้งที่เป็นระบบการเลือกตั้งเดียวกัน แต่คำพิพากษาวันนี้ ได้ไปเปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นคนละระบบเลือกตั้ง ซึ่งเกณฑ์นี้กกต.ตั้งใจมาตั้งแต่ต้น
“เป็นการย้ำชัดอีกครั้งหนึ่งว่าคำพิพากษา กกต.สามารถกำหนดเกณฑ์ 10 เปอร์เซ็นต์นี้ได้ และในอนาคตกกต.เพียงไม่กี่ท่านสามารถกำหนดเขตอย่างไรก็ได้ตามที่กกต.เห็นควร จะเห็นได้ว่ารูปแบบการแบ่งเขตมี 4 แบบ ซึ่งแบบที่กกต.เลือกแบบที่ 1 มีประชาชาชนเห็นด้วยกับรูปแบบนี้เพียงคนเดียว ขณะที่รูปแบบที่ 3 ที่ควรจะเป็นและคุ้นเคย มีประชาชนเห็นด้วยถึง 403 คน แต่สุดท้ายก็ออกตามที่กกต.เลือก แต่ถึงอย่างไรเราพร้อมสู้ทุกรูปแบบเพราะผู้สมัครของพรรคเราในเขตกทม.ก็ใหม่หมด วันนี้ที่ผมมาร้องจนถึงวันที่ศาลมีคำพิพากษา ผมไม่คิดว่าพรรคชาติพัฒนากล้า จะได้เปรียบ หรือเสียเปรียบอะไรในเรื่องนี้ แต่มันทำให้ระบบส.ส.ความเป็นผู้แทนเปลี่ยนแปลงไป” นายอรรถวิชช์ กล่าว