สธ.ตั้ง คกก.สอบข้อเท็จจริง รอง นพ.สสจ.โคราชแล้ว ปมเกี่ยวข้องทุจริตจัดอบรมทิพย์ ขีดเส้นให้แล้วเสร็จใน 10 วัน พร้อมสืบหาคนเอี่ยวเพิ่ม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) นำทีม 4 หน่วยงานปราบทุจริต เปิดแผนปฏิบัติการตรวจค้นบ้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 4 เป้าหมาย คือ บ้านของ นายสันติ ทวยมีฤทธิ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (รอง นพ.สสจ.) นครราชสีมา ฝ่ายวิชาการ พร้อมพวก พัวพันโครงการจัดอบรบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทิพย์ โดยเป็นโครงการจัดอบรมควบคุมป้องกันโรคของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา ตั้งแต่ปี 2561-2562 พบหลักฐาน 29 อำเภอ จาก 32 อำเภอ ไม่มีการอบรมจริง แต่กลับเบิกจ่ายค่าเช่าที่ ค่าอาหาร และเบี้ยเลี้ยง แถมนำชื่อคนตายมาเบิกเงิน แต่ละโครงการที่จัดอบรมเท็จ ทำรัฐสูญงบประมาณกว่า 4 ล้านบาท ก่อนยึดทรัพย์สินตรวจสอบที่มากว่า 30 รายการ
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2566 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2561 ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ สธ.เขตสุขภาพที่ 9 ดำเนินการสอบสวน เพียงแต่แนะนำว่า ควรขอสำนวน หลักฐาน พร้อมข้อหาที่ทาง ป.ป.ท. แจ้งมา เพื่อมาใช้ประกอบและดำเนินการสอบสวนอย่างเหมาะสม หากจำเป็นต้องโยกย้ายหรืออย่างไร ก็ให้ดำเนินการอย่างเหมาะสมเช่นกัน
ด้าน นพ.ภูวเดช สุระโคตร ผู้ตรวจราชการ สธ. เขตสุขภาพที่ 9 กล่าวว่า ว่า ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้นกับ นพ.สันติ แล้ว โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับ สสจ.เป็นกรรมการ กำหนดสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดภายใน 10 วัน เนื่องจากเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล ซึ่งสร้างความเสียอย่างมากให้กับแวดวงสาธารณสุข ส่วนการกระทำของนายสันติ จะเกี่ยวโยงไปถึงใครระดับไหนด้วยหรือไม่ คงต้องรอผลการสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร หากมีการเชื่อมโยงถึงใครอีกก็จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย ทั้งนี้ ได้รายงานเรื่องให้ปลัด สธ.รับทราบแล้ว
นพ.ภูวเดช กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการทางคดีของหน่วยงานด้านการปราบปรามทุจริตแล้ว ดังนั้น ในทางคดีจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข ผู้ต้องสงสัยต้องชี้แจงพิสูจน์ตนเองภายใต้กระบวนการยุติธรรม ส่วนการดำเนินการทางวินัยข้าราชการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยราชการต้นสังกัดนั้น เบื้องต้น นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาได้รายงานข้อมูลมายังปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว และจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางวินัยก่อนจึงจะสรุปได้ว่ามีความผิดทางวินัยราชการหรือไม่ โดยเริ่มจากการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง หากพบว่ามีมูลตามข้อกล่าวหา จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยต่อไป ซึ่งการพิจารณาส่วนหนึ่งจะใช้ข้อมูลจากการสืบสวนของตำรวจและเจ้าหน้าที่ ปปท.ด้วย เมื่อได้ผลสรุปแล้ว คณะกรรมการจะรายงานต่อปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยโทษทางวินัยราชการจะมี 2 ระดับ คือ โทษวินัยไม่ร้ายแรง คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน และโทษวินัยร้ายแรง คือ การปลดออกและไล่ออก
สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นการจัดโครงการอบรมในช่วงปีงบประมาณ 2562 ขณะนี้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว และระหว่างที่ตรวจสอบอาจมีคำสั่งไม่ให้ปฏิบัติงานที่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการสืบสวน รวมถึงอาจให้มีการตรวจสอบโครงการจัดอบรมในพื้นที่ย้อนหลัง
ส่วนโครงการปัจจุบันให้ดำเนินการอย่างรัดกุมไม่ให้ผิดหรือละเมิดระเบียบ ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการป้องกันและป้องปรามการทุจริต ตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามระเบียบ หากมีความผิด มีโทษทางราชการ จะเสนอเข้าสู่กระบวนการของ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข ในการตัดสินเอาผิดทางวินัยต่อไป
ทั้งนี้ ขอย้ำให้ข้าราชการและบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขทุกคน ทุกตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
อนึ่งก่อนหน้านี้ นพ.สุผล ตติยนันทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ตอนนี้เราได้รับงานไปยังผู้บังคับบัญชา ผู้ตรวจราชการจนไปถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานเหตุการณ์ต่างๆไปแล้ว ซึ่งเดี๋ยวคงจะมีข้อสั่งการลงมาให้มีการตั้งกรรมการสืบหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นส่วนระบบราชการของเรา ส่วนจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนนั้น ตรงนี้ฝ่ายกฎหมายและผู้บังคับบัญชาจะได้ดูประเด็นนี้ให้ด้วยความรอบคอบและน่าจะมีข้อสั่งการมาในเร็วๆนี้
ส่วนการอบรมสัมมนาในช่วงนี้จะต้องระงับหรือยกเลิกอะไรนั้น คงต้องเรียนว่าประเด็นที่เกิดในการตรวจสอบจากหน่วยงานส่วนกลางนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2562 แต่ในแต่ละปีจะต้องมีการดำเนินการโครงการเพื่อประชาชน ซึ่งเรามีระเบียบมีแนวทางก็ต้องทำให้รัดกุมเป็นนไปตามระเบียบไม่ให้ผิดหรือละเมิดระเบียบแต่อย่างไร ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องหยุดโครงการ แต่ทำให้ถูกรัดกุมภายใต้การกำกับดูแลเป็นไปตามข้อระเบียบราชการทั้งหมด และแน่นอนเราให้ความร่วมมือกับหน่วยงานส่วนกลางที่มาตรวจสอบเต็มที่ เพราะว่าโดยข้าราชการภายใต้ระเบียบของ กพ.ที่กำกับดูแลเรา เราต้องปฏิบัติตนให้ซื่อสัตย์ สุจริต ฉะนั้นหน่วยงานที่ตรวจสอบความไม่เป็นปรกติเราต้องให้ความร่วมมือเต็มที่
นพ.สุผล กล่าวว่า เรื่องนี้เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่บุคลากรของเราด้วย เพราะว่าตอนนี้เป็นเพียงแค่สงสัยจาก ปปง. ปปท. ฉะนั้นทางหน่วยงานส่วนกลางที่ได้มาลงตรวจเมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ได้ให้โอกาสผู้ที่ต้องสงสัยนั้นมีโอกาสได้ชี้แจงในเวลา 30 วัน ฉะนั้นต้องให้ความเป็นธรรม ซึ่งที่ได้มามันก็คือกระบวนการยุติธรรมเมื่อมีการสงสัยประการใดก็ให้โอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะความจริงมันก็มีอยู่หนึ่งเดียว
ส่วนผู้ต้องสงสัยตอนนี้ถือว่ายังบริสุทธิ์อยู่นั้น ในความหมายเป็นเช่นนั้น ส่วนการตรวจสอบว่าจะผิดหรือถูกการปกป้องอะไรนั้น เรื่องนี้จะไปปกป้องไม่ได้เลย แต่ภายใต้กระบวนการยุติธรรมในการสงสัยนั้นถ้าพิสูจน์แล้วบริสุทธิ์จะต้องให้คุณค่าผู้ที่ต้องสงสัยว่าบริสุทธิ์ แต่ถ้าพิสูจน์แล้วมีความผิดก็ต้องรับผิดตามกระยวนการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรม บิดเบือนไม่ได้เลย เรื่องนี้ต้องถือว่าระบบของเรามีทั้งการตรวจสอบ มีทั้งกติกา มีทั้งระเบียบทุกอย่างตนถือว่าเป็นกลไกปรกติ ทุกคนที่เป็นข้าราชการให้ทำตามระเบียบของข้าราชการให้รัดกุมอย่าได้ละเมิดหรือละเว้นประการใด ส่วนความหนักใจนั้น เพียงแต่ว่าเป็นข้าราชการที่ตนกำกับดูแลตนก็ต้องให้ความร่วมมือฝ่ายตรวจสอบและก็ให้ความยุติธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้เกิดกระบวนการยุติธรรมให้แม่นยำที่สุดเท่านั้นเอง ไม่ได้หนักใจอะไร