‘ศาลอาญาคดีทุจริตฯ’ พิพากษาจำคุก อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที ‘วรุธ สุวกร’ 20 ปี-ชดใช้สินไหมอีก 1.06 พันล้าน คดีอนุมัติจ่ายเงิน 1,485 ล้านบาท ให้ ‘สามารถไอ-โมบาย’ โดยมิชอบ
....................................
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 139/2565 ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ร้อง นายวรุธ สุวกร จำเลย เรื่องความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรณีอนุมัติจ่ายเงิน 1,485 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) โดยมิชอบ
โดยศาลฯพิพากษาว่า นายวรุธ มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ให้จำคุก 20 ปี กับให้นายวรุธชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 1,062.15 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 525.37 ล้านบาท นับถัดจากวันที่ 15 ธ.ค.2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
สำหรับคำพิพากษาโดยย่อสรุปความได้ดังนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลย (นายวรุธ สุวกร) ซึ่งรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นพนักงานตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จ ากัด (มหาชน) ควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียว ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 โดยใช้ชื่อว่า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จ ากัด (มหาชน) มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) จึงรับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 152 และมาตรา 153 และมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 มาตรา 3 และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 4
ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.2551 ถึงวันที่ 13 ต.ค.2551 เวลากลางวันต่อเนื่องและเกี่ยวพันกัน จำเลย (นายวรุธ สุวกร)ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ให้ไปเจรจากับบริษัท สามารถไอ-โมบาย จ ากัด (มหาชน) จากกรณีเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2550 บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่ง เรื่องผิดสัญญาและเรียกร้องเงินจำนวน 2,648,771,009.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,483,687,885.60 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ซึ่งเป็นพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ และรักษาทรัพย์ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือโดยทุจริต
กล่าวคือ จำเลยอนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวน 1,485,000,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งเกินกว่าวงเงิน 10 ล้านบาท ที่จำเลยมีอำนาจอนุมัติได้ ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตามคำสั่งคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ที่ 29/2546 ลงวันที่ 22 ส.ค.2546 ข้อ 2.1.2.5 และจำเลยมิได้ขออนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ทำให้บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ได้รับชำระเงินค่าเสียหายไปเป็นจำนวนเกินกว่าที่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ควรจะต้องจ่าย
การกระทำของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และเป็นการใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงินค่าเสียหาย จำนวน 525,370,000 บาท เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3, 8, 11
ระหว่างพิจารณา บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องขอให้จำเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องเป็นเงิน จำนวน 525,370,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 1,062,147,006.16 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การปฏิเสธ อ้างว่า จำเลยอนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) โดยเป็นไปตามผลการเจรจาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและกำหนดแนวทางที่นำเสนอมา และมติที่ประชุมของคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ในการประชุมครั้งที่ 19/2551 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2551 ให้อำนาจจำเลยอนุมัติจ่ายเงินตามฟ้องได้ เนื่องจากเป็นเรื่องการบริหารจัดการสัญญาของฝ่ายบริหาร ทั้งเป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่ยกเว้นให้จำเลยมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินได้เกินกว่า 10 ล้านบาทตามคำสั่งคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ที่ 29/2546 ลงวันที่ 22 ส.ค.2546 ข้อ 2.1.2.5
และจำเลยไม่จำต้องให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททีโอที จ ากัด (มหาชน) พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว เพราะตามมติที่ประชุมที่ 19/2551 ข้างต้นให้อำนาจจำเลยไว้แล้ว กับตามคำสั่ง บมจ.ทีโอที ที่ ส.10/2561 เรื่องผลการสอบสวนผู้รับผิดทางแพ่งสรุปว่าการจ่ายเงินตามฟ้องนี้ จำเลยไม่มีความผิดทางแพ่ง จำเลยจึงมิได้กระทำความผิดตามฟ้องและไม่ต้องรับชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง
ทางไต่สวนพยานหลักฐานจากการพิจารณาของศาล ประกอบรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ร้อง เป็นรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 มาตรา 3 และตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 4
เมื่อวันที่ 13 ต.ค.2551 บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้จ่ายเงินให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวน 1,476,100,000 (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามการอนุมัติของจำเลย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่อนุมัติจ่ายเงินดังกล่าวเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องคดีนี้ ฟังได้ว่าจำเลยอนุมัติสั่งจ่ายเงินให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 1,476,100,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งเกินกว่า 10 ล้านบาท จำเลยจึงต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที เสียก่อน เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อผูกพันในสัญญาตามคำสั่งคณะกรรมการ บมจ.ทีโอทีที่ 29/2546 ข้อ 2.1.2.5
เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องคดีแพ่ง เป็นการฟ้องเรียกให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ชำระเงินให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) จากการผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหาย กรณีจึงไม่อาจเป็นการเจรจาหาข้อยุติเพื่อที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อผูกพันในสัญญาได้ที่จะเป็นข้อยกเว้นตามคำสั่งคณะกรรมการ บมจ.ทีโอทีที่ 29/2546 ข้อ 2.1.2.5 ได้ทั้งการที่นำยอดเงินจำนวนเต็มตามฟ้องในคดีแพ่ง มาเป็นหลักในการเจรจาต่อรอง จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นฝ่ายผิดสัญญาและยอมรับผิดเต็มตามฟ้อง
นอกจากนี้ การเจรจาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดแนวทาง ก็มิได้ปฏิบัติตามความเห็นที่เป็นข้อสังเกตของที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ครั้งที่ 19/2551 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2551
ประกอบกับจำเลยอนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 13 ต.ค.2551 ซึ่งเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 เดือนตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ครั้งที่ 19/2551 กำหนดไว้
นอกจากนี้ ก่อนและหลังจำเลยอนุมัติให้จ่ายเงินแก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ได้มีการคัดค้านจากบุคคลภายในหน่วยงานของจำเลยหลายครั้ง โดยเฉพาะมีการยกเลิกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่บริษัท สามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เพราะฝ่ายการเงินและบัญชีคัดค้านเรื่องอำนาจจ่ายเงินของจำเลย
แต่จำเลยก็ยังอนุมัติให้มีการจ่ายเงินดังกล่าว โดยไม่หารือหรือขอความคิดเห็นจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ตอบข้อหารือหรือนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ใช้ความละเอียดรอบคอบในการตัดสินใจอนุมัติวงเงิน ซึ่งเป็นจำนวนมากถึง 1,476,100,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กับเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือโดยทุจริต ส่วนข้อที่จำเลยให้การและนำสืบปฏิเสธมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์
ทั้งการที่จำเลยเบิกความว่าขอขยายระยะเวลา 1 เดือน ด้วยวาจากับคณะกรรมการ บมจ.ทีโอทีแล้วนั้น ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณามาก่อน จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเช่นกัน พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง และต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยตามคำร้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 จำคุก 20 ปี กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องเป็นเงินจำนวน 1,062,147,006.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 525,370,000 บาท นับถัดจากวันที่ 15 ธ.ค.2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ