ผู้เชี่ยวชาญจีนยันตอนนี้จีนมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว เผยการติดเชื้อที่ผ่านมามีคนเป็นไข้จากโควิดครั้งแรกเข้าสู่ระบบแพทย์น้อยมาก เชื่อภูมิคุ้มกันหมู่องค์รวมจะทำให้การระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่สั้นมาก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวสถานการณ์โควิดในต่างประเทศว่าทางผู้เชี่ยวชาญประเทศจีนได้ออกมาประกาศแล้วว่าตอนนี้ประเทศจีนนั้นมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว ซึ่งจะสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิดในระลอกใหม่ได้ ซึ่งรายงานดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้พบว่าจีนมีผู้ป่วยโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 เป็นรายแรก ทำให้สาธารณชนจีนมีความกังวลเกี่ยวกับว่าจีนจะเผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ที่ไปที่มาของความกังวลดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากรายงานโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนที่รายงานเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ยืนยันข้อมูลว่าจีนแผ่นดินใหญ่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากโควิดสายพันธุ์ XBB.1.5 โดยเป็นการพบอย่างเป็นทางการครั้งแรกตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2565
มีรายงานอีกว่าโซเชียลมีเดียจีนที่ชื่อว่า ซินา เว่ยป๋อ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับทวิตเตอร์ในประเทศจีนได้ติดแฮชแท็ก XBB.1.5 และเริ่มจะเป็นเทรนด์ตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยชาวเน็ตจีนบางคนได้ตั้งคำถามว่าโควิดสายพันธุ์ใหม่นั้นจะทำให้เกิดคลื่นของการระบาดอีกระลอกหรือไม่ เนื่องจากว่ามีบางคนติดโควิดเป็นครั้งที่ 2 แล้ว
ทางด้านของ นพ.หลี่ ถงเจิ้ง หัวหน้าแพทย์แผนกโรคทางเดินหายใจและโรคติดเชื้อที่โรงพยาบาลปักกิ่ง ยูอัน ได้ให้สัมภาษณ์ว่าการมาถึงของโควิดสายพันธุ์ใหม่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทุติยภูมิทั่วทั้งชุมชนทําให้ระยะเวลาการป้องกันของภูมิคุ้มกันหมู่สั้นลง แต่ว่าระดับภูมิคุ้มกันหมู่ในองค์รวมนั้นจะทำให้การติดเชื้อระลอกใหม่นั้นสั้นมาก
“เมื่อไม่นานมามีคนกลุ่มน้อยมากที่เป็นผู้ติดโควิด-19 เป็นครั้งแรกแล้วมีอาการเป็นไข้ แต่ว่ายังไม่พบเห็นรายงานว่ามีกรณีของผู้ที่ป่วยเป็นไข้จากไวรัสโควิดเป็นจำนวนมากแต่อย่างใด” นพ.หลี่กล่าว
ขณะที่ นพ.เส็ง กวง อดีตผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคติดต่อฯ ระบุว่าผลกระทบของโควิดยังไม่หายไปแม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะดูคงที่ก็ตาม
“ไม่ว่าสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าอัตราการติดเชื้อจะดีดตัวขึ้นหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะมีสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายมาจากต่างประเทศหรือไม่ก็ตาม การเฝ้าติดตามทุกประเด็นที่ว่ามานี้ เป็นหน้าที่หลักของเรา” นพ.เส็งกล่าว
อ้างอิงจาก:https://www.globaltimes.cn/page/202302/1285726.shtml