สธ.เผย CH.1.1 หลบภูมิได้ดี แต่แพร่ช้ากว่า BN.1 พันธุ์หลักในไทย ย้ำ LAAB ยังใช้ได้ผล ด้าน WHO จับตา 4 โควิด 'BF.7-BQ.1-BA.2.75-XBB' ส่วนผลตรวจเชื้อก่อนออกประเทศพบติดเชื้อน้อยลง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานความคืบหน้าสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า จากระบบเฝ้าระวังการเก็บตัวอย่างตรวจสายพันธุ์โควิด-19 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 28 ม.ค. - 3 ก.พ. 2566 โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ มีการตรวจเบื้องต้น 94 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนในประเทศ 87 ราย และต่างชาติ 7 ราย พบสายพันธุ์ BA.2.75 เป็นส่วนใหญ่ 82 ราย คิดเป็น 87.2% สายพันธุ์ BA.4/BA.5 จำนวน 8 ราย คิดเป็น 8.5% และสายพันธุ์อื่นๆ อีก 4.3%
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังให้ความสำคัญและติดตามโควิดสายพันธุ์โอไมครอน 4 กลุ่มจากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่ม ความชุก หรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ในช่วงเดือน ม.ค.2566 จากฐานข้อมูลสากล GISAID คือ
- สายพันธุ์ BF.7 มีประมาณ 4.6% ทั้งโลก ซึ่งเคยเจอในประเทศไทยเล็กน้อย
- สายพันธุ์ BQ.1 และลูกหลาน พบมากที่สุด 46.9% ลูกหลานที่พบเยอะสุดคือ BQ.1.1 ประมาณ 28.9%
- สายพันธุ์ BA.2.75 และลูกหลาน ภาพรวมทั้งโลกเหลือประมาณ 13.9% ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย
- สายพันธุ์ XBB และลูกหลาน รวมถึง XBB.1.5 อยู่ที่ประมาณ 16.3%
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมามีการพูดถึงสายพันธุ์ CH.1.1 ว่าน่าสนใจ เนื่องจากมีทีท่าว่าอาจจะหลบภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ที่ไทยใช้ได้พอสมควร หรือใช้ไม่ค่อยได้ผล ซึ่งสายพันธุ์ CH.1.1 เกิดมาขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2565 และพบมากขึ้น ขณะนี้พบใน 67 ประเทศ รวมถึงไทยด้วย ซึ่งเป็นลูกหลานของ BA.2.75 โดยมีตำแหน่งที่กลายพันธุ์เพิ่มที่ตำแหน่ง R346T , K444T , L452R , F486S
แม้สายพันธุ์นี้ ในเชิงหลบภูมิคุ้มกันสูง แต่การไปจับกับเซลล์ไม่ได้มาก ส่วน XBB.1.5 ที่พบมากในสหรัฐอเมริกา ในแง่การหลบภูมิมากแต่น้อยกว่า CH.1.1 แต่สามารถจับเซลล์ได้ดีกว่า ขณะที่ BN.1 ซึ่งเป็นลูกหลาน BA.2.75 ที่พบสูง 70-80% ของ BA.2.75 ทั้งหมดในไทย สามารถจับเซลล์ได้ดีกว่า แต่หลบภูมิน้อยกว่าเล็กน้อย ดังนั้น 2 ตัวนี้เลยสูสี โอกาสที่จะเห็น XBB.1.5 หรือ CH.1.1 ที่เข้ามาเบียดอย่างรวดเร็วอาจจะไม่เกิดขึ้น
สำหรับประเทศไทย พบ CH.1.1 มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ขึ้นตามสภาพและลดลงมาตามสภาพ และมีกระดกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งสายพันธุ์ย่อยที่พบมากสุดคือ CH.1.1.3 ที่เป็นลูกหลาน
"ประเทศไทย เมื่อต้นปีที่แล้ว BA.1 พบมากสุด ถัดมาถูกเบียดเป็น BA.2 จากนั้น BA.5 เข้ามาแทนที่ ตอนนี้ก็ลดลงไป กลายเป็นวันนี้ BN.1 ตั้งแต่ ม.ค. 2566 ที่เข้ามาเป็นตัวหลักในประเทศไทย มี CH.1 มีพบบ้าง แต่ไม่ได้หนาขึ้น ดังนั้น LAAB ในบ้านเรายังใช้ ไม่ได้กระทบมาก แต่เจอ CH.1 ประสิทธิผลอาจจะลดลงเล็กน้อย แต่คนติด CH.1.1 ไม่ได้เยอะ ก็นยังสามารถใช้ LAAB ได้ต่อไป ส่วน XBB ยังไม่ได้เห็นอะไรมาก แต่ที่พบเพิ่มขึ้นอาจมาจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่จะจับตาดูว่าจะพบมากขึ้นเร็วหรือไม่" นพ.ศุภกิจกล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มี 4 ประเทศที่มีมาตรการตรวจ Rt-PCR ก่อนเดินทางเข้าประเทศไม่ว่าสัญชาติไหน คือ จีน อินเดีย เนปาล และเมียนมา จากการตรวจคนที่จะเดินทางออกจากประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. - 3 ก.พ. 2566 จำนวน 2,022 ราย พบว่า มีคนไทยติดเชื้อ 1.79% คนจีนเฉลี่ย 4.2% อินเดียไม่ค่อยเจอ แต่ตรวจน้อยกว่าชาติอื่น และสัญชาติอื่นๆ อีก 3.43% โดยทั้งหมดจะมาตรวจสายพันธุ์แต่ต้องใช้เวลาในการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว
ส่วนแนวโน้มเป็นสัปดาห์ อัตราที่พบลดลงเกือบทั้งหมด อย่างสัญชาติอื่นๆ จากสัปดาห์แรกเคย 10 กว่า% ลดลงเหลือ 1% กว่าๆ สัญชาติจีนจาก 7% เหลือ 2% กว่า ไทยก็ลดลงสัปดาห์สุดท้ายไม่เจอด้วยซ้ำ สถานการณ์โดยรวมไม่น่าจะมีปัญหา และหากเป็นคนจีนที่จะเดินทางกลับไปแล้วตรวจว่าติด หากมาอยู่ระยะสั้นๆ ก็อาจจะติดมาจากบ้านเขาแล้วมาตรวจเจอตอนกลับบ้าน หากอยู่ยาว เช่น เกิน 10 วันก็อาจจะรับเชื้อในไทย ซึ่งไม่ได้แปลกเพราะคนไทยยังมีการติดเชื้ออยู่
ทั้งนี้ หลังจากที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากขึ้น ยังไม่มีส่งสัญญาณพบการติดเชื้อมากขึ้น ในส่วนของประเทศจีนมีการติดเชื้อเฉพาะในประเทศ และพบว่าสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในจีนคือสายพันธุ์เดิมที่เคยระบาดในไทย ดังนั้น ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่หากผู้ติดเชื้อจากจีนนำเชื้อเข้ามาในไทย
"โดยสรุป XBB.1.5 ที่ระบาดมากในอเมริกา ซึ่งหลบภูมิได้ค่อนข้างสูง ยังไม่มีในประเทศไทย ในไทยยังเป็น BN.1 มากที่สุด โดยเฉพาะ BN.1.3 ส่วน CH.1.1 ที่หลบภูมิ แต่จับกับเซลล์ได้ไม่ดี ก็พบบ้าง สะสมประมาณ 200-300 ราย สถานการณ์ไม่ได้มากขึ้น แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็งต่อไป หากมีปัญหาจะตรวจจับได้ และรายงานไปยัง GISAID เสมอเพื่อให้ข้อมูลสมบูรณ์ที่สุด" นพ.ศุภกิจ ระบุ
นพ.ศุภกิจ กล่าวยอมรับว่า ยังต้องเฝ้าระวังอีก พักหนึ่งใหญ่ๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีอะไร ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยหลักการของไวรัส ยิ่งติดเชื้อคือเพิ่มจำนวนในคนใหม่มากขึ้นเท่าไร โอกาสผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็มี แต่ความรุนแรงไม่น่าจะเพิ่มขึ้นแล้ว การไปตรวจเยอะในชั้นต้นอาจต้องออกแรงมหาศาล ซึ่งไม่มีความจำเป็นในตอนนี้ ยกเว้นหากมีสัญญาณของปัญหา
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนไทยฉีดวัคซีน อัตราความครอบคลุมค่อนข้างสูง หลายคนติดเชื้อไปแล้ว 1-2 ครั้ง เมื่อการฉีดวัคซีนบวกติดเชื้อก็จะมีภูมิในระดับหนึ่ง จากตัวเลขรายงานผู้ติดเชื้อปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตลดลงชัดเจน ไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนตอนกลางปี 2564 ที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ทุกรายงานที่มี เป็นการรายงานเรื่องการแพร่ แต่ไม่มีเรื่องความรุนแรงอะไรที่เพิ่มจากโอไมครอน หรือมีการกลายพันธุ์จนรุนแรงขึ้น เสียชีวิตเร็วขึ้น ยังไม่มีข้อมูล คือ ไม่ได้รุนแรงขึ้น แต่อาจแพร่เร็วขึ้น
ส่วนกรณีกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวร่วม มีภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี ยังคงต้องระวัง เพราะทำให้มีอาการรุนแรงได้ แม้ว่า บางประเทศในยุโรปมีนโยบายว่า หากร่างกายแข็งแรงดีไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ได้ แต่ยังเป็นเพียงประเทศส่วนน้อย
อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีอะไร ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยหลักการของไวรัส ยิ่งติดเชื้อคือเพิ่มจำนวนในคนใหม่มากขึ้นเท่าไร โอกาสผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็มี แต่ความรุนแรงไม่น่าจะเพิ่มขึ้นแล้ว
"กรมวิทย์ฯ มีการวางแผนว่าการตรวจเบื้องต้นที่แยกเป็นกล่องใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์ อาจรอ 1-2 สัปดาห์เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว การไปตรวจเยอะในชั้นต้นอาจต้องออกแรงมหาศาล ซึ่งไม่มีความจำเป็นในตอนนี้ ยกเว้นหากมีสัญญาณว่าวันนี้มีตัวหนึ่งเป็นปัญหาอาจจะต้องทำตรวจชั้นต้นต่อ" นพ.ศุภกิจ กล่าว