เผยความคืบหน้าคดีโกงคืนภาษีบางเสาธง สมุทรปราการ 800 ล้าน ล่าสุด สรรพากร รายงานกระทรวงการคลัง ให้จนท.ออกจากราชการไปแล้ว 2 ราย ความเสียหาย 159 ล้าน คิดจากยอดเงินที่ต้องชดใช้ให้ผู้ประกอบการ ด้าน 'วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ' รองอธิบดีฯ ยังไม่ขอให้รายละเอียด เหตุ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกอยู่ ทั้งผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงเส้นทางการเงิน ลั่นตัวการใหญ่-สนับสนุน ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด
กรณีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวกรมสรรพากร ส่งตัวแทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ กล่าวโทษ สรรพากรอำเภอบางเสาธงรายหนึ่ง ในคดีโกงภาษีที่คืนให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยมีพฤติการณ์แก้ไขเช็คเอาเงินเข้าบัญชีตัวเอง รวมมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท หลังจากมีการตรวจสอบพบเมื่อเดือน ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา เบื้องต้นหลังการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรบางเสาธง ได้ส่งสำนวนคดีไปให้ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสมุทรปราการรับไปดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อแล้ว
ขณะที่ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราเป็นทางการแล้ว ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นในคดีนี้ทั้งหมดประมาณ 159 ล้านบาท โดยได้มีการดำเนินคดีความกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว เพราะถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ และให้ออกจากราชการไว้ก่อนตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา
- โกงคืนภาษี 800 ล.! สรรพากร กล่าวโทษ จนท.บางเสาธง แก้ไขเช็คเอาเงินเข้าบัญชีตัวเอง (1)
- ไม่ใช่แค่สรรพากรอำเภอ! พฤติการณ์โกงคืนภาษี800 ล. มีผู้เกี่ยวข้องอีกกว่า3 ราย คอยช่วย (2)
- เสียหาย 159 ล.! อธิบดีสรรพากร แจงคดีโกงเงินคืนภาษีบางเสาธง ให้จนท.ออกราชการไปแล้ว (3)
ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีนี้ ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงการคลัง ว่า เกี่ยวกับกรณี กรมสรรพากร ได้รายงานข้อมูลให้ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง รับทราบเป็นทางการในช่วงก่อนหยุดเทศกาลปีใหม่ ว่าได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอบางเสาธง ออกจากราชการไปแล้ว จำนวน 2 ราย
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวเลขความเสียหายจำนวน 159 ล้านบาท ที่ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ระบุถึงนั้น เป็นตัวเลขความเสียหายเฉพาะในส่วนที่กรมสรรพากรชดใช้ให้กับผู้ประกอบการที่ถูกปลอมแปลงชื่อในเช็คคืนภาษีเท่านั้น
ขณะที่ นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองอธิบดีกรมสรรพากร ให้สัมภาษณ์ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมกับสำนักข่าวอิศรา ว่า กรณีดังกล่าวกำลังอยู่ขั้นตอนในการดำเนินการของทาง ป.ป.ช. ซึ่งเปรียบเสมือนขั้นตอนของพนักงานสอบสวน เพราะฉะนั้นทางกรมสรรพากรจึงไม่สามารถให้รายละเอียดในเชิงของการดำเนินการได้
นายวินิจ ระบุด้วยว่า ขณะนี้กรมสรรพากรต้องรอผลสอบสวนจาก ป.ป.ช. ก่อน ซึ่ง ป.ป.ช. มีการดำเนินงาน 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเกี่ยวกับตัวการผู้กระทำผิด และผู้สนับสนุน พบหลักฐานเท่าใด หลักฐานไปถึงไหน ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่วนที่สองสอบเส้นทางการเงิน และการร่ำรวยผิดปกติของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวทุกคน
"ยืนยันว่าจะมีการร้องทุกข์ กล่าวโทษ กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตัวการใหญ่ และผู้สนับสนุน จะมีการดำเนินการในการคดีอย่างเด็ดขาด" นายวินิจ ระบุ
นายวินิจ กล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบ ทาง ป.ป.ช. แจ้งว่า ตัวการใหญ่ และผู้สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ จะมีการดำเนินคดีทั้งหมด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยอดเสียหายที่เกิดขึ้นจริงมันจำนวนเท่าไรกันแน่ นายวินิจ ชี้แจงว่า ขณะนี้ทาง ป.ป.ช. ในการตรวจสอบเส้นทางการเงินเบื้องต้น ทราบมูลค่าความเสียหายประมาณ 159 ล้านบาท หลังจากที่ ป.ป.ช. มีสอบสวนเสร็จสิ้น ก็คงจะมีตัวเลขที่ชัดเจนมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
@วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ
อนึ่งเกี่ยวกับกรณีนี้ สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานไปแล้ว จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ มีจำนวน 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นสรรพากรอำเภอบางเสาธง ที่เป็นคนแก้ไขเช็คเอาเงินเข้าบัญชีตัวเองที่ธนาคารกรุงไทย สาขาบางเสาธง ส่วนที่สอง เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้ว ผู้เกี่ยวข้องอีกกว่า 3 ราย จะแยกกันไปทำเรื่องถอนเงินจากบัญชีที่ธนาคารสาขาใกล้เคียง ซึ่งในขั้นตอนการฝากถอนเงิน มีการตั้งข้อสังเกตว่าขบวนการนี้เจ้าหน้าที่ธนาคารมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ เพราะตามขั้นตอนธุรกรรมทางการเงิน หากมีการแก้ไขข้อมูลเช็คจะต้องมีการแจ้งให้ผู้สั่งจ่ายรับทราบด้วย
ปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสมุทรปราการ รับไปดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อแล้ว มีการอายัดบัญชีของสรรพากรอำเภอบางเสาธงที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีเงินเหลือในบัญชีน้อยมาก
ส่วนความคืบหน้าสำนักข่าวอิศราจะนำเสนอรายงานต่อไป
อ่านประกอบ :