ปปง.เผยความคืบหน้าคดีตู้ห่าว แจงตอนนี้บูรณาการร่วมกับตำรวจติดตามเส้นทางการเงินผับจินหลิงและท็อปวัน ชี้เพื่อมิให้เสียหายต่อรูปคดีจึงต้องดำเนินการเป็นทางลับ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าวันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ตามที่ได้มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวการดำเนินคดีกับนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ (นายตู้ห่าว) ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนและประชาชนนั้น ในการนี้ สำนักงาน ปปง. ขอเรียนต่อสื่อมวลชนและประชาชนเพื่อทราบถึงการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ดังนี้
1. ตามมาตรา 40 (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542บัญญัติให้สำนักงาน ปปง. มีอำนาจหน้าที่ในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด โดยกรณีการดำเนินคดีกับนายตู้ห่าวนั้น สำนักงาน ปปง. ได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ในการรวบรวมพยานหลักฐานและการขยายผล การตรวจสอบเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สิน สำนักงาน ปปง. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับสถานีตำรวจ นครบาลยานนาวา กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และคณะทำงานของพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) มาโดยตลอด
โดยมีการประสานงานเพื่อรับและส่งข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน การวิเคราะห์ธุรกรรม ทางการเงินของเครือข่ายนายตู้ห่าว ซึ่งมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาตั้งแต่ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเข้าดำเนินการตรวจค้นทั้งผับจินหลิงและผับท็อปวัน ซึ่งพบว่า มีกลุ่มทุนจีนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันทั้งในพื้นที่จังหวัดชลบุรี พื้นที่เมืองพัทยา และพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ การเข้าตรวจค้นผับจินหลิงและผับท็อปวันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินของสำนักงาน ปปง. โดยสำนักงาน ปปง. ได้มอบหมายผู้แทนให้เข้าร่วมประชุมวางแผนกับคณะทำงานของพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด รวมทั้งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ได้เข้าร่วมการตรวจยึดเครื่องบินของนายตู้ห่าวในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
2. กรณีการจับกุมและดำเนินคดีกับนายตู้ห่าวนั้น นอกจากสำนักงาน ปปง. จะได้ ร่วมบูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังได้สนับสนุนข้อมูล การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินข้างต้น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการรับหรือส่งรายงานหรือข้อมูลเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายอื่นตามมาตรา 40 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์หาความเชื่อมโยง ของบุคคลผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ในการโอน รับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดอันอาจเป็นการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และเพื่อประกอบ การพิจารณาดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน และมิให้เสียหายต่อรูปคดี
สำนักงาน ปปง. จึงต้องดำเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยทางลับ และยังไม่อาจเปิดเผยหรือประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนก่อนได้ ในการนี้ การดำเนินการเกี่ยวกับคดีนายตู้ห่าว สำนักงาน ปปง. ขอยืนยันว่าได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และไม่ได้มีการเพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่ แต่อย่างใด รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 25 กำหนดให้คณะกรรมการ ปปง. มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติของสำนักงาน ปปง. รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล และควบคุมให้คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงาน ปปง. และเลขาธิการ ปปง. ปฏิบัติหน้าที่ อย่างเป็นอิสระและสามารถตรวจสอบได้ ด้วยเหตุนี้ สำนักงาน ปปง. จึงได้ให้ความสำคัญ กับการดำเนินการกับทรัพย์สินในคดีนายตู้ห่าวมาโดยตลอด นอกจากนี้ ยังได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินคดีฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหากมี ความชัดเจนในฐานความผิดดังกล่าว สำนักงาน ปปง. จะพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยเร็วต่อไป