ผู้นำเอเปกจ่อหารือวิกฤติราคาพลังงาน-อาหาร เหตุจากสงครามยูเครน เตรียมถกร่วม 'เป้าหมายกรุงเทพฯ' ฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด- คาดนายกฯญี่ปุ่นประณาม 'รัสเซีย' กลางที่ประชุม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับการประชุมเอเปกที่กรุงเทพมหานครโดยอ้างอิงข่าวจากสำนักข่าวเคียวโดะไทม์สของประเทศญี่ปุ่นว่า ผู้นำประเทศในภูมิภาคติดมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นจะมีการประชุมหารือเอเปกเป็นระยะเวลา 2 วันตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. ซึ่งเนื้อหาของการประชุมหารือจะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับปัญหาราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น และการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานอันเกิดจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
โดยในระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเอเชีย-แปซิฟิก 21 ประเทศ มีแนวโน้มว่าเหล่าบรรดาผู้นำประเทศจะมีความเห็นต้องกันว่าจะส่งเสริมการค้า การลงทุนและบูรณาการทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตในภูมิภาค
ทั้งนี้แม้จะมีความแตกแยกจากวิกฤติยูเครนในกลุ่มเศรษฐกิจประเทศสมาชิก ซึ่งความแตกแยกนั้นรวมไปถึงระหว่างผู้นำประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย แต่มีรายงานว่าเหล่าบรรดาผู้นำจะประเทศจะใช้สิ่งที่เรียกว่า “เป้าหมายกรุงเทพฯ” เพื่อเสริมสร้างแนวคิด Bio-Circular-Green Economy ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของโควิด-19 และจะเน้นไปที่ความยั่งยืนของโลกเป็นสำคัญ
โดยนี่จะเป็นครั้งแรกที่เอเปกได้กำหนดเป้าหมายอย่างครอบคลุมรวมไปถึงในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการออกแถลงการณ์ร่วมของผู้นำเอเปกหรือไม่ เนื่องจากว่ายังมีความแตกแยกในเรื่องประเด็นยูเครนอยู่ โดยที่ผ่านมาประเทศตะวันตกเลือกที่จะออกแถลงการณ์ประณามรัสเซีย แต่ประเทศสมาชิกบางประเทศเช่นจีนและอินเดียกลับเลือกที่จะไม่คว่ำบาตรมอสโก
มีรายงานอ้างอิงจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นด้วยว่าคาดกันว่านายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะประณามความก้าวร้าวของรัสเซียในที่ประชุม โดยกล่าวว่าการกระทำของรัสเซียทำให้เกิดวิกฤตพลังงานและอาหาร ซึ่งส่งผลต่อประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างหนัก และคาดไปอีกว่านายคิชิดะน่าจะกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมพลังงานสะอาดและการจัดหาพลังงานที่มีเสถียรภาพในภูมิภาคด้วยการรับประกันความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
อนึ่งก่อนหน้านี้กองทุนทางการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF คาดการณ์กันว่าการเติบโตในเอเชียและแปซิฟิกจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 4 ในปี 2565 จากร้อยละ 6.5 ในปีก่อนหน้า โดยยกเหตุผลเรื่องสงครามยูเครน,การเข้มงวดด้านสินเชื่อทั่วโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นปัจจัยสำคัญ