ศธ.ปรับมาตรการหลังโควิดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ด้าน สธ.เผยพบ นร.ติดเชื้อ ขอให้ รร.จัดการสอนที่เหมาะสม ไม่ต้องปิดเรียน หากเด็กมีอาการป่วย รักษาตัว 5 วันกลับมาเรียนได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2565 นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวโควิดกับชีวิตเด็กๆ ในวัยเรียน ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 ก.ย.2565 จะพบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 อายุ 0-18 ปี มีอัตราลงลดอย่างชัดเจน ส่วนอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มอายุ 0-18 ปี ก็ต่ำมาก บางเดือนแทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย ส่วนอัตราการรับวัคซีนโควิด-19 ของนักเรียนนั้น ข้อมูลวันที่ 3 ต.ค. พบว่า กลุ่มอายุ 12-17 ปี ทั้งหมด 5,333,639 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 4,723,369 คน คิดเป็นร้อยละ 88.56 เข็มที่ 2 จำนวน 4,386,081 คน คิดเป็น 82.23 % เข็ม 3 จำนวน 1,140,580 คน 20.35 % ส่วนอายุ 5-11 ปี ทั้งหมด 5,002,698 คน ได้รับเข็ม 1 จำนวน 3,328,184 คน คิดเป็น 64.6% เข็มที่ 2 จำนวน 2,493,003 คน คิดเป็น 48.4% และเข็ม 3 จำนวน 56,807 คิดเป็น 1.1 %
สธ.มีคำแนะนำให้นักเรียนควรรับเข็มกระตุ้น กรณีเมื่อมีการติดเชื้อในโรงเรียน ขอให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมโดยไม่ต้องปิดเรียน แต่ผู้เรียน ครู บุคลากร ควรปฏิบัติตามหลักการ Universal Prevention เข้มการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดทำกิจกรรมรวมกลุ่ม จัดพื้นที่ให้มีระบบระบายอากาศที่ดี และทำความห้องเรียนชั้นเรียน ทั้งนี้นักเรียนติดเชื้อและมีอาการ ทั้งที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือรักษาตัวที่บ้าน เป็นเวลา 5 วัน ก็สามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติ
หากโรงเรียนพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนให้รีบแจ้งสาธารณสุขในพื้นที่ทันที ส่วนการสวมหน้ากากอนามัยในโรงเรียนนั้น มีคำแนะนำว่า ควรสวมหน้ากากเมื่อมีการทำกิจกรรมร่วมกันหรือในที่ที่มีคนอยู่จำนวนมาก และการสวมหน้ากากยังสามารถป้องกันโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองให้นำเด็กเล็กไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น
นพ.สราวุฒิ กล่าวว่า สำหรับสถานศึกษา กรณีผู้ที่ติดเชื้อ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง และการจัดสถานศึกษาให้ปลอดภัย ว่า ประกาศนโยบายมิติสุขภาพและคำแนะนำการป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง จัดสภาวะแวดล้อมของสถานศึกษา สะอาด ปลอดภัย สุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาล มีการปะเมินความเสี่ยงตามความเหมาะสม ส่งเสริมการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ ครู บุคลากร นักเรียนและผู้ปกครอง ปฏิบัติตามสุขภาพส่วนบุคคลขั้นพื้นฐาน มีการตรวจคัดกรองสุขภาพนักเรียนตามมาตรฐานงานอนามัยโรงเรียน เฝ้าระวังสังเกตุอาการกรณีกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มคลัสเตอร์ให้ประสานปรึกษา และส่งต่อโรงพยาบาล ในส่วนของการได้รับวัคซีนของเด็กนักเรียนตั้งแต่ช่วงอายุ 12-17 ปี มีเพิ่มมากขึ้น
ด้าน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยการเตรียมความพร้อมสถานศึกษาทั่วประเทศ ตามประกาศยกเลิกมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และประกาศหลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีคณะผู้บริหารของกระทรวง ว่า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มคลี่คลายลง กระทรวงสาธารณสุข จึงประกาศยกเลิกโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ให้กลับไปใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จึงยกเลิกประกาศ 3 ฉบับ เพื่อให้สอดรับด้วย แต่สถานศึกษา เป็นสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มและทำกิจกรรมที่จำเป็นต่อการเรียนรู้และเสริมสร้างพัฒนาการ จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ จึงต้องปรับแนวปฏิบัติให้สอดรับกับประกาศของกระทรวงสาธารณสุข หากมีการติดเชื้อในสถานศึกษาให้จัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสมโดยไม่ปิดเรียน เน้นการพัฒนาระบบและทักษะให้นักเรียนและครูสามารถดูแลตนเองได้ โดยใช้โครงการ 1 โรงเรียน 1 ครูอนามัย สร้างเด็กไทยรอบรู้สุขภาพ มีระบบการคัดกรอง เฝ้าระวัง การส่งต่อ ด้านความเครียดหรือซึมเศร้าต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือและลดความรุนแรง
นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า จะมีการสื่อสารไปยังโรงเรียนและผู้ปกครอง โดยยังคงเน้นการป้องกันตัวเองตามแนวทางปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ขณะที่โรงเรียนจะต้องเน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง สังเกตุอาการนักเรียนอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดการเรียนการสอนให้เกิดความปลอดภัยกับเรียนเรียน ขณะเดียวกันต้องพร้อมกับการเผชิญสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย และประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองในการปฏิบัติตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขด้วย
ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ในส่วนของอาชีวะที่จะเร่งดำเนินการคือการสร้างความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นการผ่อนปรนในหลายเรื่อง รวมทั้งต้องทีการประชุมทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ร่วมกับผู้บริหารและครู พร้อมกับต้องดำเนินการตามนโยบาย 1 วิทยาลัย 1 ครูอนามัย เพื่อดูแลในเรื่องนี้ และจะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลความสะอาดห้องพัก ห้องปฏิบัติการต่างๆ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีนักศึกษาอยู่ประจำ ในโครงการ อยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ พร้อมจัดทำแผนเผชิญเหตุด้วย โดยขณะนี้พร้อมขับเคลื่อนและจัดการศึกษาในสถานการณ์ขณะนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาในทุกเรื่อง
นายวัลลพ สงวนนาม เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) กล่าวว่า เนื่องจาก กศน.มีความหลากหลายในการจัดกิจกรรม และสถานที่ต่างๆ จึงต้องมีการประสานความร่วมมือกับทุกส่วนไม่ว่าจะเป์นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศาสนสถาน และผู้ประกอบการ ให้เตรียมความพร้อมสถานที่ในการจัดกิจกรรมให้มีความปลอดภัยมากที่สุด มีการสร้างความรู้ความเข้าใจกับบุคลากรในสังกัด นักเรียน นักศึกษา