‘ศักดิ์สยาม’ ปักต้นปี 66 โอน 3 สนามบินภูธร ‘อุดร-บุรีรัมย์-กระบี่’ เสร็จสมบูรณ์ ชี้ต้องศึกษาทุกด้านให้รอบคอบ ด้าน ทอท.แจงยิบรับโอนมาบริหาร สร้างรายได้ 40,000-50,000 ล้านบาท ยันไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 5 กันยายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เข้าไปบริหารจัดการท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานบุรีรัมย์และท่าอากาศยานกระบี่ ของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) นั้น ยังมีความเห็น ทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ รวมถึงทางตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาเพิ่มเติม โดยเมื่อศึกษาเสร็จตามขั้นตอนจะรายงานต่อ ครม.เพื่อทราบต่อไป และเมื่อ ครม.รับทราบคาดว่าจะเริ่มดำเนินการโอน 3 สนามบิน ในต้นปี 2566
ทั้งนี้ รูปแบบการบริหารสนามบิน 3 แห่งนี้ คือ เปลี่ยนจากกรมท่าอากาศยานไปเป็น ทอท.บริหารจัดการแทนนั้น ทางกรมท่าอากาศยานจะต้องคืนที่ดินให้กรมธนารักษ์ และ ทอท.จะเข้าไปเช่าจากกรมธนารักษ์แทน โดย ทอท.จะต้องไปหารือเรื่องอัตราค่าเช่ากับกรมธนารักษ์ต่อไป
ส่วนทรัพย์สินของ 3 สนามบิน เช่น อาคาร โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะมีการตีมูลค่าร่วมกัน ซึ่งหลักการในการสนับสนุนเงินให้กรมท่าอากาศยาน คือจะต้องทำให้กองทุนหมุนเวียนกรมท่าอากาศยานมีความเข้มแข็งมากขึ้น
“ในอดีตผมไม่แน่ใจว่ามีการศึกษาแบบนี้หรือไม่ ที่เคยมีมติ ครม.มีการโอนสนามบินให้ ทอท. ล่าสุด คือสนามบินเชียงรายซึ่งมติ ครม.ให้ ทอท.เข้าไปบริหารเลย ซึ่งเมื่อมีการตั้งประเด็นการศึกษายังไม่ครบถ้วนก็ไปดำเนินการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งเจตนาของเราต้องการทำให้กระจายความหนาแน่นผู้โดยสารที่ปัจจุบันจะต้องเปลี่ยนเครื่อง หรือ transit ที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ออกไปยังสนามบินภูมิภาค” นายศักดิ์สยามกล่าว
นายศักดิ์สยามกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน ทอท.มีสนามบิน ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ และเชียงราย ภาคใต้ มีสนามบินภูเก็ต สนามบินหาดใหญ่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่มี จึงเลือกสนามบินอุดรธานี ส่วนภาคตะวันออกนั้น รัฐมีสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถ
“ในการเดินทาง นโยบายผม ไม่ใช่เฉพาะผู้โดยสารระหว่างประเทศ แต่ผู้โดยสารในประเทศ (Domestis) เราก็เปิดโอกาสว่าไม่ต้องเริ่มต้นที่ดอนเมืองเท่านั้น สายการบินไหนอยากไปให้บริการที่สนามบินไหน สามารถเสนอขอทำการบินได้” นายศักดิ์สยามกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นสถานะของ ทอท.ว่า ปัจจุบัน ทอท.มีสภาพเป็นบริษัทมหาชน ในตลาดหลักทรัพย์ ทอท.ไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจ 100% แล้ว ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่ได้รับโอนสนามบินเชียงรายไปบริหาร นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ประเด็นนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ก็ถาม ซึ่งต้องไปศึกษาทำความชัดเจนทั้งระเบียบ กฎหมาย วิธีบริหารเพื่อให้เกิดความเข้าใจ เนื่องจากเป้าหมายในการโอน 3 สนามบินของ ทย.ไปให้ ทอท.บริหารนั้นเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม
“ปัจจุบันราคาหุ้นของ ทอท.เพิ่มขึ้น และมั่นใจว่าการโอนสนามบินให้ ทอท.บริหารนั้นจะไม่ทำให้กองทุนท่าอากาศยานมีปัญหาแต่จะยิ่งทำให้มีความเข้มแข็งกว่าเดิมอีก” รมว.คมนาคมกล่าว
สำหรับกระทรวงการคลังมีความเห็นให้ทำการศึกษาเพิ่มเติมคือ ความเป็นไปได้ของโครงการ เปรียบเทียบกรณี ทย.ดำเนินการ กับกรณี ทอท.ดำเนินการ, การคาดการณ์ประมาณการจำนวนผู้โดยสาร, แผนการลงทุน, แผนพัฒนาท่าอากาศยาน, ประมาณการรายได้ รายจ่าย, ผลตอบแทนทางการเงิน ผลกระทบต่อ ทย. และ ทอท. และแผนบริหารความเสี่ยงกรณีที่การดำเนินการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ทอท.แจงรับโอน 3 สนามบินสร้างรายได้ 5 หมื่นล้าน
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ AOT รับริหารจัดการ 3 ท่าอากาศยานได้แก่ กระบี่ อุดรธานีและบุรีรัมย์ว่า การโอน 3 สนามบินเป็นยุทธศาสตร์การขนส่งทางอากาศของกระทรวงคมนาคมเพื่อพัฒนาศูนย์กลางการบินของประเทศ (Hub) เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านฝั่ง สปป.ลาว-กัมพูชา สอดรับกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเห็นการเชื่อมต่อระบบขนส่งในรูปแบบเกทเวย์ต้อนรับการเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน ทอท.
“เชื่อว่าภายใต้ระยะเวลาของสิทธิ์การบริหาร 30 ปี จะสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลราว 49,000-50,000 ล้านบาท เป็นผลตอบแทนคืนในรูปแบบภาษีและเงินปันผลตามสัญญาที่รัฐกำหนด อีกทั้งยังมีความคล่องตัวด้านการลงทุนที่ไม่ต้องรองบประมาณรายปีของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว” นายนิตินัยกล่าว
นายนิตินัย กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคมเห็นถึงความพร้อมของ AOT ที่ถือครองสัดส่วนผู้โดยสารทางอากาศอยู่มากถึง 85% ด้วยปริมาณผู้โดยสารสูงสุด 142 ล้านคน/ปี ประกอบกับมีความพร้อมทางเงินลงทุน ด้วยข้อได้เปรียบของศักยภาพในการควบคุมดีมานต์จึงทำให้ AOT สามารถให้สิทธิประโยชน์ (Incentive) เพื่อจูงใจในการเดินทางและเพิ่มปริมาณผู้โดยสารที่สนามบินปลายทางได้
ลดค่า Landing-Parking 95%
ซึ่งล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบให้สิทธิพิเศษลดค่าธรรมเนียมลง 95% ในปีแรก สำหรับค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน (Landing Charge) และค่าบริการที่เก็บอากาศยาน (Parking Charge) ให้กับสายการบินใหม่ที่จะทำการเปิดเส้นทางใหม่มายังสนามบินของ AOT ถือเป็นความร่วมมือของสนามบินกับสายการบิน โดยใช้ค่าธรรมเนียมบริการสนามบินมาทดแทนรายได้ที่ขาดหายไปดังกล่าว
ดังนั้นด้วยข้อได้เปรียบทางดีมานต์ AOT จึงมีความพร้อมที่จะใช้เครื่องมือแคมเปญการตลาด (Marketing campaign) มากระตุ้นยอดผู้โดยสารที่สนามบินใหม่ที่รับโอนมาได้ จากการศึกษาของ AOT พบว่าท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่ง มีอุปสงค์เงา (Shadow demand) สัดส่วนมากถึง 20% ซึ่งอุปสงค์ดังกล่าวคือจำนวนผู้โดยสารที่ต้องการบินตรงไปยังสนามบินปลายทางทั้งสามแห่ง แต่ยังคงต้องเสียเวลามาต่อเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ
โต้โอนสนามบินทำ PSC แพง
นายนิตินัย กล่าวถึงกรณีข้อสังเกตุในกรณีที่รับโอน 3 สนามบินแล้วจะส่งผลให้ค่าธรรมเนียมสนามบิน (Passenger Service Charge : PSC) แพงขึ้น ระบุว่า การรับโอน 3 สนามบินจะทำให้ค่า PSC ถูกลงเนื่องจากไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนกันหลายสนามบิน เช่น ชาวต่างชาติจะเดินทางจากจังหวัดอุดรธานีไปยังยุโรป สามารถบินตรงกลับไปได้เลยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาต่อเครื่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากจะสะดวกสบายแล้วยังเสียค่า PSC แค่ครั้งเดียวอีกด้วย
นอกจากนี้การกำหนดค่า PSC ยังต้องอิงมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งกำหนดให้สนามบินต้องคิดค่าบริการตามต้นทุนในรูปแบบที่ไม่มีกำไรมากนัก ประกอบกับประเทศไทยมีหน่วยงานกลางของรัฐบาลอย่างสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำกับดูแลอีกชั้นนึงด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารสนามบินจะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ต้องแจกแจงต้นทุนบริหารเพื่อยึดเป็นแนวทางการคำนวณค่า PSC เช่นเดียวกัน
“การพัฒนาท่าอากาศยานให้ได้มาตรฐานการบินสากลเป็นเรื่องที่ใช้งบประมาณลงทุนสูงเพื่อให้สามารถรับเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศได้ มาตรฐานสนามบินที่ดีขึ้นจึงมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทอท.จึงมีความพร้อมด้านเงินทุนและเครื่องมือในการบริหาร สามารถเริ่มพัฒนาสนามบินได้โดยไม่ต้องรองบประมาณของรัฐบาล อีกทั้งยังนำส่งผลตอบแทนกลับเข้าแผ่นดินในรูปแบบภาษีและเงินปันผลตามสัญญาที่รัฐกำหนด” นายนิตินัย กล่าว
นายนิตินัย กล่าวต่อว่า การโอน 3 สนามบินเป็นไปตามยุทธศาสตร์แนวทางพัฒนาการขนส่งทางอากาศของประเทศ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายร่วมตัดสินใจ อาทิ กพท. สำนักงบประมาณ สำนักงานกฤษฎีกา กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งภาพรวมมองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีสนามบินที่เป็น Hub ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อพัฒนาให้สามารถรับเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการลดความแออัดภายในสนามบินหลัก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องทำไม่ว่าจะเป็นใครเข้ามาลงทุนก็ตาม ปัจจุบันน่านฟ้าที่อีสานมีที่ว่างเพียงสองแห่งเท่านั้นคือ จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดอุดรธานี จึงมีศักยภาพจะพัฒนาเป็นเกทเวย์เพื่อยกระดับไปสู่ฮับการบินในอนาคต
นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT