'โปรตุเกส' เผยผู้ได้รับวัคซีนพ่วงติดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1,ฺBA.2 มีภูมิต่อ BA.5 มากกว่าคนฉีดวัคซีนแต่ไม่ติดเชื้อถึง 4 เท่า ชี้เป็นข่าวดีสำหรับวัคซีนรุ่นใหม่ที่มาจาก BA.1
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19หรือโคโรน่าไวรัสในต่างประเทศว่ามีรายงานจากผลการศึกษาที่ประเทศโปรตุเกสว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ถ้าหากพบว่าติดโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นครั้งแรกนั้นจะมีภูมิคุ้มกันมากกว่าสี่เท่า ถ้าหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ฉีดวัคซีนอย่างเดียวแต่ว่ายังไม่เคยติดเชื้อ
สำหรับผลการศึกษาดังกล่าวนั้นถูกตีพิมพ์ลงบนวารสารทางการแพทย์นิวอิงแลนด์ ซึ่งได้มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับความน่าจะเป็นซึ่งผู้ที่รับการฉีดวัคซีนนั้นจะได้รับโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ซึ่งมีการแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน
โดยนักวิจัยจากโปรตุเกสได้ประเมินข้อมูลระดับการป้องกันที่ได้รับจากการติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นๆก่อนหน้านี้ จากการใช้ข้อมูลการศึกษาในโลกจริง
“ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซึ่งติดโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 นั้นพบว่ามีภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.5 ที่เริ่มระบาดตั้งแต่เดือน มิ.ย. ได้สูงกว่าสี่เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซึ่งยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อนไม่ว่าจะในช่วงใดก็ตาม” นพ.หลุยส์ กรากา ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยลิสบอนกล่าว
ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่าการติดเชื้อทั้งในปี 2563 และในปี 2564 จากโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้านี้นั้นยังช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนได้เช่นกัน แม้จะไม่เท่ากับโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปีก็ตาม
นักวิจัยกล่าวต่อไปว่าผลการวิจัยดังกล่าวนั้นถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าวัคซีนรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาและอยู่ในระหว่างประเมินผลนั้นเป็นวัคซีนที่พัฒนามาจากโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 ซึ่งเคยเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดเป็นหลักในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่าภูมิคุ้มกันที่ได้จากสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนี้จะสามารถให้ภูมิคุ้มกันได้ในระดับใด เมื่อต้องเผชิญกับโควิดที่กำลังหมุนเวียนอยู่ ณ เวลานี้
ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่านั้นมาจากการที่นักวิจัยได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วยในระดับชาติของประเทศโปรตุเกสทุกรายที่มีอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป
ทางด้านของ นพ.มานูเอล คาร์โม โกเมส รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยลิสบอนกล่าวว่าการพิจารณาสายพันธุ์ของไวรัสนั้นมีการตรวจสอบว่าในช่วงเวลาใดบ้างซึ่งในแต่ละสายพันธุ์ของไวรัสมีความโดดเด่นขึ้นมา โดยที่ประเทศโปรตุเกสนั้นได้มีการพิจารณาว่าให้โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 เป็นสายพันธุ์ที่มีความโดดเด่นร่วมกัน
จากนั้นนักวิจัยจึงได้มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับความน่าจะเป็นว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้าจะมีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อซ้ำได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะสามารถคำนวณได้ว่ากลุ่มผู้ติดเชื้อในสายพันธุ์ก่อนหน้ามีภูมิคุ้มกันอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์กันแน่
โดยผลจากากรศึกษาแสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อก่อนหน้าในกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการป้องกันกับสายพันธุ์ที่ถูกรับรู้กันว่ามีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดีอย่างยิ่ง ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่กำลังหมุนเวียนอยู่ ณ เวลานี้